อาถรรพณ์สีเลือด (บุญญรัตน์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

อาถรรพณ์สีเลือด

----------------------------------

อาถรรพณ์สีเลือด..Near Dead  by  Stephen R. George

                                “บุญญรัตน์”  แปล

---------------------------------------------
บทที่ 1

 

                ภรรยาของเทย์เลอร์ โฮลด์แมน  ปรากฏตัวขึ้นระหว่างการประชุมกับสเตนแมนและยังตอนเช้าวันจันทร์  ร่างของเธอลอยอยู่ตรงหน้าต่างชั้น 10 เป็นครู่  เป็นเสมือนภาพพิมพ์ที่ทาบทับอยู่กับแผ่นฟ้าแห่งนครมินเนโปลิส  หลังจากนั้นเธอก็ลอยผ่านกระจกเข้ามายืนพิงอยู่กับผนังห้องประชุม

                “เฮลโล  เทย์เลอร์”  เธอเอ่ยทักทายขึ้น

                เทย์เลอร์สะดุ้งสุดตัวถลันลุกขึ้นยืน  มือปัดไปถูกถ้วยกาแฟที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเป็นผลให้แผ่นภาพสเก็ตช์เปรอะเปื้อนไปด้วย

                “โฮลด์แมน”  สเตนแมนที่เอื้อมมาจับแขนเขาไว้ร้องเรียกอย่างตกใจ  “เป็นอะไรไป?”

                หน้าตาเนื้อตัวของรอนด้ายังดูปกติ  ไม่ได้ถูกเผาไหม้  ผิวพรรณไม่ได้ไหม้เกรียมอย่างศพที่ถูกเผาแล้วด้วยซ้ำ เธออยู่ในชุดฤดูร้อนที่สวมใส่ตอนตาย  ตรงหน้าท้องกับทรวงอกมีเลือดอาบโชก  มือที่เปื้อนเลือดยกขึ้นปัดปอยผมออกจากหน้าผาก

                “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” สเตนแมนถามขึ้นอีก

                สิ่งหนึ่งที่เทย์เลอร์รู้ก็คือ  ไม่มีใครสามารถมองเห็นรอนด้าได้นอกจากเขา  ขณะนี้เธอได้เคลื่อนตัวออกห่างจากผนังด้านนั้น  มีรอยเลือดประทับอยู่กับผนังอย่างเห็นได้ชัด

                “ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอก..ขอโทษ  ผมเห็นจะต้องขอตัว..”

                เขาเดินออกจากห้องประชุมด้วยแข้งขาที่สั่นเทา  เอนหลังพิงอยู่กับบานประตูที่ปิดตามลง  สูดลมหายใจลุ่มลึก  ซาแมนธาเดินออกมาจากห้องพักรับรอง  เขากวักมือเรียกให้เธอเข้าไปหา

                “เทย์เลอร์  หน้าตาคุณอย่างกับจะเป็นลมอย่างนั้นแหละ”

                “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรหรอก  อย่าตื่นเต้นให้มากไปนักเลย ว่าแต่คุณเห็นอะไรบ้างล่ะ?”

                “ก็เห็นคุณสเตนแมนกับคุณยัง”

                “แค่นั้นน่ะเรอะ?”

                “แล้วคุณคิดว่าฉันควรจะเห็นอะไรมากกว่านั้นอีกล่ะ?”

                เขารุนร่างเธอออกห่าง มองผ่านกระจกออกไปข้างนอก รอนด้ายังคงมองจ้องเขาอยู่ที่เดิม

                “จีซัส  ไครส์..!”

                “เทย์เลอร์..คุณควรจะ..”

                “โอเค..โอเค..ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษ..”

                เขาเปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องประชุม  สเตนแมนยังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด  ขอบคุณพระเจ้าที่รอนด้าหายตัวไปแล้ว แต่รอยเลือดยังคงปรากฎอยู่บนผนังเขาพยายามจะไม่มองดูมัน

                “ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา” เขาเอ่ยออกไป

                “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะ?”  สเตนแมนถาม

                “ครับ มิสเตอร์กาโดซ์จะติดต่อไปหาคุณตอนบ่าย  ส่วนผมก็จะติดต่อไปหาคุณอีกครั้งวันจันทร์หน้า  ตรงกับวันที่ 4 พฤศจิกายนสินะครับ  ถึงตอนนั้นผมน่าจะมีอะไรบางอย่างมาอวดคุณได้แล้วละ”

                “ผมต้องการให้งานนี้สำเร็จเสร็จสิ้นตอนช่วงปีใหม่และควรจะเปิดการแสดงในช่วงนั้นได้ด้วย”  สเตนแมนว่า

                “ไม่มีปัญหา” เทย์เลอร์ตอบ

                จากนั้นเขาก็เดินนำบุคคลทั้งสองออกจากห้องประชุมตรงไปยังแผนกต้อนรับ  สเตนแมนสัมผัสมือกับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างหนักแน่น

                “ผมชอบงานของคุณมากนะคุณโฮลด์แมน  คุณเป็นคนที่มีฝีมือในเรื่องนี้อย่างมาก  เมื่องานชิ้นนี้สำเร็จเรียบร้อยลง  ผมก็ยังมีงานอื่นที่จะมอบหมายให้คุณรับมาจัดการอีก”

                เมื่อบุคคลทั้งสองจากไปแล้ว  เทย์เลอร์ก็ถึงกับทรุดตัวลงนั่งบนขอบโต๊ะทำงานของซาแมนธา  ซึ่งเธอแปลความหมายจากท่าทางของเขาผิดไป  คิดว่าเป็นความยินดีที่งานสำเร็จเรียบร้อยลง

                “คุณทำสำเร็จแล้วละเทย์เลอร์ จับใส่กระสอบได้ทั้งคู่เลย”

                เขายิ้มเพลียๆให้เธอก่อนจะบอกว่า

                “จดไว้บอกคล็อดด้วยนะแซม  ให้เขาติดต่อทำสัญญากับสเตนแมนเสียในตอนบ่ายวันนี้เลย  สำหรับผมวันนี้เห็นจะต้องกลับไปพักผ่อนก่อน  พรุ่งนี้เช้าพบกัน”

                “เทย์เลอร์..นี่คุณไม่สบายหรือเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?”

                “ผมสบายดี เพียงแต่รู้สึกเพลียนิดหน่อยเท่านั้น”

                “เออ..มิสเตอร์พอลเมอร์เขาอยากขอพบหลังจากที่คุณประชุมเสร็จแล้วแน่ะ”

                “ช่างหัวเขาเถอะ  ผมจะพบเขาพรุ่งนี้” เขาหยิบเสื้อนอกขึ้นมาสวม

 

                ขณะเดินอย่างพยายามหลีกเลี่ยงแสงสว่างจากไฟถนน เวย์น เซมมล่าร์  ผิวปากตามเพลงที่ได้ฟังมาจากวิทยุที่อู่ซ่อมรถเมื่อตอนเช้า  ขณะนี้เขากำลังเดินอ้อมด้านหลัง ซึ่งตั้งอยู่บนถนนดอลโลเวย์ สตรีท  มันเลยเที่ยงคืนไปแล้ว  แต่เขาไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียแม้แต่น้อย

                เขาเลื่อนตัวผ่านกรอบหน้าต่างเข้าไปในตัวบ้านราวรูปเงาและพบว่า ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในห้องซักรีดเสื้อผ้า  กลิ่นหอมของผงซักฟอกอบอวลไปทั้งห้อง  เขาหยิบเสื้อผู้หญิงตัวหนึ่งขึ้นมาจากพื้น สูดดมเข้าไปเต็มที่

                “อือม์..ชื่นใจ..!”

                เขาทิ้งเสื้อตัวนั้นลง เดินขึ้นบันไดไปในท่ามกลางความมืด  เมื่อพบลิ้นชักในห้องครัวก็เปิดออก  ควานมือเข้าไปอย่างเงียบกริบ  ในที่สุดก็ได้มีดปลายแหลมด้ามสีดำขึ้นมาเล่มหนึ่ง  เอามันวางลงบนโต๊ะในครัว  แล้วใช้เวลาอีกเป็นครู่ที่จะแก้ห่อเสื้อดึงชุดที่ใช้สำหรับ “การฆ่า”  โดยเฉพาะออกมา  มันมีกลิ่นฉุนจัด เพราะเขาได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ซักเสื้อผ้าชุดนี้เด็ดขาด  อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใช้มันมากว่า 3 ปีแล้ว  แต่มันก็ยังคงใช้การได้ดีเสมอ

                เขาเคยดูภาพยนตร์โทรทัศน์เกี่ยวกับแพทย์ที่ทำการคิดค้นหรือบุกเบิกเพื่ออะไรสักอย่าง  ก่อนหน้าที่เขาจะประสบความสำเร็จในการหาแบคทีเรียตัวใหม่ หรือจะเป็นอะไรก็ตาม  เขาจะไม่มีวันเปลี่ยนเสื้อคลุมหรือแม้แต่ผ้าคาดเอวเพราะคราบเลือดที่จับเกรอะกรัง บอกให้รู้ถึงความเป็นผู้คงแก่เรียน

                เขาหยิบชุดหมีชุดนั้นขึ้นมาสวมใส่  ก้มลงมองคราบเลือดสีเข้ม  ดูเหมือนไม่นานมานี้เองที่เขาไม่ใคร่จะว่างมือเช่นกัน

                เขาทิ้งกระดาษห่อไว้บนโต๊ะในครัว  หยิบมีดขึ้นมาถือแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน  มีเสียงกระดานดังอยู่ใต้ฝ่าเท้า แต่ไม่มีใครตื่น  เขาค่อยๆเปิดประตูดูทีละห้อง  แล้วก็พบห้องหนึ่งที่มีเด็กหญิงนอนกอดตุ๊กตาหลับสนิท  เขาค่อยๆปิดประตูห้องนั้นลงอย่างแผ่วเบา

                เขามาหยุดอยู่ตรงประตูห้องน้ำ  กระทืบเท้าแรงๆ  ครั้งนี้เสียงที่ได้ดังปลุกใครบางคนให้ตื่นขึ้น  ได้ยินเสียงไอ  เสียงพูดจากันเบาๆก่อนที่ประตูห้องนอนใหญ่จะเปิดออก  ร่างของใครคนหนึ่งก้าวออกมายังห้องโถงทางเดิน  เมื่อปิดประตูตามหลังลง  ร่างนั้นก็ยืนตัวแข็งอยู่กับที่

                “สวัสดี..” เวย์นเอ่ยออกไป

                ร่างนั้นหันขวับมามอง ในท่ามกลางแสงสลัวจากไฟถนน  เวย์นทันเห็นสีหน้าของผู้ชายที่บ่งบอกถึงความตระหนก  เขากระซวกมีดลงไป 3 ครั้ง  กัดฟันแน่นในแต่ละครั้งที่มีดทิ่มแทงลง

                ผู้ชายคนนั้นส่งเสียงร้องครางออกมา  ก่อนที่ร่างจะทรุดฮวบลงกองกับพื้น  แต่ยังไม่ตายทีเดียว  เวย์นคุกเข่าลงข้างตัว  เอามือคลำเข้าไปในเสื้อนอนจนพบกระดูกซี่โครง  นับขึ้นไป 3 ซี่แล้วก็ใช้คมมีดทะลวงลงไปตรงนั้น

                “โอย..โอ๊ย..” ผู้เคราะห์ร้ายร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

                เวย์นพลิกใบมีด  ผู้ชายคนนั้นถอนหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนจะแน่นิ่งไป  ขณะเดียวกันก็มีเสียงผู้หญิงร้องถามมาจากในห้อง

                “มีอะไรหรือคะที่รัก?”

                “ไม่มีอะไรหรอก”  เวย์นตอบกลับไป

                เขากระชากมีดออกจากร่างเอาเช็ดกับเสื้อตัวที่สวมอยู่ แล้วจึงได้ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องนอน  ผู้หญิงคนที่ถามนอนหันหลังให้เขาอยู่

                “เกิดอะไรขึ้น?” เธอถามโดยไม่ได้หันหน้ามามอง

                “มีคนเข้ามาฆ่าผม”

                “อะไรนะคะ?” เธอกลิ้งร่างขึ้นนอนหงาย

                และแล้ว..ดวงตาก็เบิกโพลง  เมื่อเขาตะปบมือลงบนปากก่อนที่เธอจะทันกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ  ตอนนั้นเองที่เขาทิ่มมีดเข้าไปในเสื้อนอน  ดวงตาของเธอเหลือกลานขึ้นกว่าเดิม  หลังจากที่เธอนิ่งเงียบไปแล้ว เขาจึงได้กระทำตามวิธีการเดิม  คือควานหาซี่โครงซี่ที่ต้องการ

                เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เช็ดมือกับเสื้อตัวที่สวมใส่อยู่  ผิวปากเพลงโปรดขณะเดินเข้าไปในห้องน้ำ  ดื่มน้ำเข้าไปแก้วใหญ่  ยิ้มกับภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงา  เลือดสดๆสาดกระจายอยู่เต็มชุดหมี  จากนั้นเขาก็เดินกลับลงไปข้างล่าง  ผิวปากไปตลอดทางราวกับมันเป็นเพลงที่เข้าไปติดตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างไม่มีทางถ่ายถอนได้  เมื่อคว้าถุงได้แล้วจึงได้เดินกลับขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง

                เด็กหญิงตื่นเต็มที่แล้ว  หนูน้อยกกกอดตุ๊กตาไว้แน่นเมื่อจ้องมองหน้าเขาอยู่

                “พ่อกับแม่ล่ะคะ?”

                “ออกไปข้างนอก  หนูชื่ออะไรล่ะ?”

                “เคลลี่”

                เขาเดาเอาว่าสาวน้อยน่าจะอายุประมาณ 9 ขวบ  ตอนนี้เคลลี่เห็นมีดที่เขาถืออยู่ในมือเข้าแล้ว  ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดจะซ่อนเร้นแต่อย่างใด  กลับปิดประตูห้องลงอย่างใจเย็น

                “เอาละ เคลลี่ หนูนั่งนิ่งๆอยู่ตรงนี้นะ อย่าขยับไปไหน”

                เด็กหญิงเริ่มสะอึกสะอื้น  ร้องไห้หาแม่..

                เวย์นคุกเข่าลงกับพื้นห้อง  เปิดถุงออกหยิบชอล์กออกมาแท่งหนึ่ง  ลงมือเขียนสัญลักษณ์บางอย่าง เป็นรูปดาว 5 แฉกพร้อมกับผิวปากไปพลาง

                แต่ละปลายแฉก  เขาจะจุดเทียนไขเล่มเล็กปักไว้  ก่อให้เกิดรูปเงาประหลาดขึ้นในท่ามกลางแสงวาบไหว  เมื่อเสร็จเรียบร้อยเขาก็ลุกขึ้นยืน มองดูฝีมือตนเองด้วยความชื่นชม  บอกกับตัวเองอยู่ว่า  แม้เวลาจะผ่านไปนานพอควร  แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมวิธีการนี้  ทั้งที่ครั้งแรกที่หัดเขียนนั้น  ดวงแรกมันบิดเบี้ยวโย้เย้ดูไม่มีรูปทรงเอาเสียเลยก็ตาม

                “เอาละ..มาตรงนี้ได้แล้ว”

แต่เคลลี่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างง่ายดายนัก  หนูน้อยชันเข่าจ้องมองหน้าเขาอยู่ด้วยดวงตาสีฟ้าที่บ่งบอกความไร้เดียงสา

                เวย์นคว้าแขนกระชากร่างเล็กๆลงจากเตียงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว  มีความรู้สึกว่าหนูน้อยทำให้เรื่องมันยากกว่าที่ควรจะเป็น  เขาทิ้งร่างน้อยลงกลางดวงดาวนั้น  เด็กหญิงเนื้อตัวสั่นสะท้าน  ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

                “เงียบ..!” เขาตวาดเสียงกร้าว  ก่อนจะฟาดเปรี้ยงลงบนใบหน้าอย่างไร้เมตตา  เมื่อเด็กหญิงนิ่งไปแล้วเขาจึงได้จับร่างเล็กๆนั้นให้นอนคว่ำลง  ปกติแล้วเขาจะไม่ชอบมองหน้าเหยื่อที่อยู่ในสภาพนี้  โดยเฉพาะพวกเด็กๆ  มันคล้ายกับเด็กเหล่านั้นจะรอให้เขาป้อนอาหารหรืออะไรสักอย่างมากกว่า  ที่จริงเขาน่าจะใช้คนที่เป็นแม่มากกว่าแต่มันก็สายเกินไปแล้ว

                เขาคุกเข่าลงระหว่างขาของหนูน้อย  เด็กหญิงเนื้อตัวสั่นระริกด้วยแรงสะอื้นและยังกอดตุ๊กตาไว้แน่น  เขาตบลงไปบนศีรษะเต็มแรง  เพื่อให้เด็กหญิงยุติการครวญครางลง  แม่หนูกำลังทำให้เขาเสียสมาธิโดยไม่รู้ตัว

                “ปิศาจทั้งหลาย..จงผุดขึ้นมาเถิด  บัดนี้ข้าได้นำเครื่องสังเวยที่ท่านต้องการมาให้แล้ว  ข้าได้กระทำสิ่งนี้เพื่อท่านทั้งหลายอย่างแท้จริง ขอให้มารับเครื่องสังเวยนี้โดยเร็ว..”

                บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความสงัดเงียบ  แม้แต่เสียงสะอื้นไห้ของเคลลี่ก็พลอยหยุดเงียบไปด้วย

                “ลุกขึ้นมาสิ  เจ้าปิศาจทั้งหลาย  ข้าขอออกคำสั่งแก่เจ้า  ข้าเอาชีวิตมนุษย์มาเป็นเครื่องสังเวยแก่เจ้าแล้วยังไงล่ะ”

เคลลี่ครวญครางขึ้นมาอีก  ครั้งนี้เขาตบหูเต็มแรงเพื่อให้เด็กหญิงเงียบเสียง  หลังจากนั้นก็ถึงวาระอันยากยิ่ง เมื่อเขาจะต้องเอ่ยนามปิศาจที่ตนกำลังเซ่นสรวงด้วยเครื่องสังเวยออกมา

                “อาซ..เด..เคอร์....มา..ดอแน๊กซ์..ข้าขอเชิญวิญญาณท่าน..”  เมื่อทุกสิ่งยังเงียบอยู่เขาก็พร่ำเรียกเป็นครั้งที่ 2

                “อาซเดเคอร์มาดอแน๊กซ์..ข้าเรียกวิญญาณท่าน..”

                ภายในห้องสงัดเงียบ..

                “เพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิตน้อยๆนี้  ข้าขอให้เจ้าจงมารับข้าไป..จงเข้ามาครอบครองจิตวิญญาณของข้า..”

                เสียงเคลลี่ครวญคร่ำ  คราวนี้เขาไม่ได้ทำร้ายเด็กหญิงด้วยการตบตี  แต่กระซวกมีดเข้ากลางแผ่นหลัง  เด็กหญิงกรีดร้องออกมาเพียงครั้งเดียว  เหมือนสุนัขที่ถูกตบแรงๆครั้งแรก ร่างนั้นกระถดถอยหนีโดยไม่รู้ตัวแล้วก็นิ่งเงียบ  เขาคลำหาซี่โครงเมื่อพบจุดที่ต้องการก็ปักมีดลง ร่างของเด็กหญิงไม่ได้สะท้านสะเทือนอีกเลย

                เวย์นสูดลมหายใจลึก  เดินกลับไปยังห้องน้ำ เปิดไฟแล้วก็ยืนพิจารณาภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาอยู่อีกเป็นครู่  แววในดวงตายังคงเหมือนเดิม  ไม่ได้มีแววปราโมทย์แต่อย่างใด

                “ชิท..” เขาด่าตัวเองออกมาดังๆ

                เขาทุบกำปั้นใส่กระจกราวจะตัดพ่อต่อว่าที่สะท้อนรูปเงาเช่นนั้นออกมาให้เห็น  ความฝันที่เกิดขึ้นกับเขาล้วนหลอกลวงทั้งสิ้น  ความฝันที่จะได้เข้าสู่อาณาจักรหนึ่ง ยังเป็นเรื่องที่ไกลเกินกว่าจะไขว่คว้าได้

                เขาสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง  พยายามกล้ำกลืนความผิดหวังลงไว้  ความผิดหวังที่เอ่อท้นขึ้นมาตีบตันอยู่ในช่องปาก  แทบจะทะลักทลายออกมาจากภายใน

                เขาแน่ใจอย่างที่สุดว่า  สิ่งที่เขาฝันถึงตลอดเวลาจะต้องเป็นสัญญาณอะไรสักอย่าง  เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า  มันถึงเวลาที่เขาจะต้องเริ่มลงมือฆ่าอีกครั้งแล้ว  ช่วงเวลาแห่งการรอคอยถึง 3 ปีนั่นได้ผ่านพ้นไปแล้วและครั้งนี้  มันจะต้องประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย

                ในความฝัน  รูปเงามหึมาตระหง่านเงื้อมอยู่เหนือร่างของเขา  มันหยิบยื่นทุกคำตอบที่เขาเอ่ยถามอย่างเปี่ยมอยู่ด้วยความหวัง  ความทนทุกข์ทรมานควรจะได้ยุติลงแล้วและแสงสว่างอันเรืองรอง  ก็ควรจะได้พุ่งผ่านเข้ามาในชีวิตเสียที

                แต่ทว่า..ในกระจกเงาบานนี้  ดวงตาที่ปราศจากวี่แววแห่งความหวังก็ยังมองตอบเขากลับมา..

                “เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน”  เขาให้สัญญาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

                เขาเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของเคลลี่เพื่อทำความสะอาดบ้างบางส่วน...

-----------------------------------


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (84 รายการ)

www.batorastore.com © 2024