จ้าวหัวใจ (บุญญรัตน์) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 270.00 บาท 67.50 บาท
ประหยัด: 202.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

สายลมเหนือโบยโบกผ่านทุ่งกว้างส่วนที่ปราบพื้นที่ไว้เป็นสนามบินส่วนตัว เลยไปปะทะอยู่กับยอดหญ้าตรงขอบลานบิน มันเป็นต้นหญ้าคอลเดอร์ เกิดและเจริญงอกงามอยู่บนพื้นแผ่นดินอันเป็นอาณาจักรแห่งตระกูลคอลเดอร์ที่ทอดตัวไพศาลไปสุดสายตาในทุกทิศทาง

ตรงมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสนามบิน คือสถานที่ตั้งกองบัญชาการ ของไร่ปศุสัตว์ทริพพึล ซี.ที่เลื่องชื่อแห่งรัฐมอนตาน่า มันคือที่ทำการของคอลเดอร์ แคตเติ้ล คอมเปนีมาเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว และผืนแผ่นดินแห่งนี้ได้ลิ้มรส มาแล้วทั้งหยาดเหงื่อ หยาดเลือด และหยาดน้ำตาของบุคคลในตระกูลคอลเดอร์ ผืนแผ่นดินแห่งนี้อาบไว้ด้วยหยาดน้ำตามากมายเหลือเกิน...เชส คอลเดอร์ ครุ่นคิดขณะทิ้งน้ำหนักตัวอยู่กับไม้เท้า ไหล่กว้างหลุบลงด้วยน้ำหนักแห่งภารกิจมากมายที่แบกรับไว้ แต่ถึงอย่างไรในบริเวณนี้ก็ไม่มีใครอื่นที่จะได้เห็นภาพแห่งความหม่นหมองท้อแท้ใจที่ประมุขแห่งตระกูลคอลเดอร์แสดงออกอยู่แล้ว มีแต่เขาที่ยืนอยู่เพียงลำพังนอกกันสาดโลหะที่ติดตั้งไว้ตรงลานจอดเครื่องบิน

เสียงกระหึ่มของเครื่องบินขนาดสองเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นทำให้เชส คอลเดอร์ ผึ่งไหล่ แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามที่โค้งคลุมอยู่เหนือศีรษะ ดวงตาคู่คมกล้าจับอยู่ที่เครื่องบินลำหนึ่ง ซึ่งกำลังบินตรงเข้ามาสู่บริเวณสนามบินส่วนตัวแห่งนี้ เขารู้ว่าคนขับเครื่องบินลำนั้นคือไท ส่วนผู้โดยสารซึ่งมีอยู่เพียงคนเดียวคือแคทลีน และทั้งสองคือลูกชายกับลูกสาวของเขา

ในที่สุดเครื่องบินก็ร่อนลงสู่พื้นและเคลื่อนลำเข้ามาตรงที่เขายืนอยู่ เชส เหลือบตาขึ้นมองสรวงสวรรค์อีกครั้ง ความปวดร้าวแน่นอยู่ในอก

“แล้วนี่ผมจะใช้คำพูดว่ายังไงดีล่ะ แม็กกี้...?” เขาพูดอยู่กับตัวเอง เขามักจะพูดกับภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วแบบนี้เสมอ

 

ทว่า...มันไม่มีคำพูดใดที่จะช่วยบรรเทาความรู้สึกปวดร้าวที่อัดแน่นอยู่ ในอกด้วยอิทธิพลของข่าวร้ายที่เขาแบกรับไว้ได้เลย เช่นเดียวกับไม่เคยมีสิ่งใด จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดราวถูกคมมีดกรีดลงกลางใจ เมื่อเขาได้รับทราบข่าวร้ายว่า แม็กกี้ภรรยาสุดที่รักของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อห้าปีก่อน มันเป็นบาดแผลที่ฝากรอยไว้ในชีวิตของเขาตราบจนทุกวันนี้

เชสขยับตัว ทิ้งน้ำหนักลงกับไม้เท้ามากขึ้นกว่าเดิม สีหน้าเครียดขรึม ขณะจับตามองเครื่องบินที่แท็กซี่เข้ามาและหยุดลงใกล้กับที่เขายืนอยู่ เพียงครู่ เครื่องยนต์ก็ถูกดับ ประตูทางด้านหลังเปิดออก และแคทลีนลูกสาววัยยี่สิบปีของเขาก็ก้าวลงมา

แววในดวงตาของเขาอ่อนโยนลงเมื่อได้เห็นหน้าลูก แคทลีนซึ่งทุกคนใน ครอบครัวเรียกเธอสั้น ๆ ว่า...แคท...นั้น มีความละม้ายคล้ายคลึงแม่อย่างที่สุด เรือนผมของเธอเป็นสีดำ ขณะที่ดวงตาเป็นสีเขียวเข้มราวสีของต้นหญ้าคอลเดอร์ ในฤดูใบไม้ผลิ มันเป็นส่วนผสมที่น่าตื่นใจยิ่งนัก และที่ทำให้น่าตะลึงหลงยิ่ง กว่านั้น คือความงามในทุกท่วงท่าอิริยาบถและพลังที่ฉายแสงอยู่บนใบหน้า วันนี้แคทลีนอยู่ในเครื่องแต่งกายเรียบ ๆ กางเกงสีน้ำเงินกับเสื้อผ้าไหมสีขาว เธอเดินตรงเข้ามาหาบิดาด้วยฝีเท้าที่มั่นคงกระฉับกระเฉง เชสเหลือบตามองไปทางไทแวบหนึ่ง ตอนที่ลูกชายลงจากเครื่องบิน สัมผัสความสง่างามด้วยศักดิ์ศรีที่มีอยู่ในบุรุษวัยสามสิบห้า เรือนร่างสูงใหญ่ไหล่กว้าง ทุกสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวตนของลูกชายคนนี้ คือความเป็นคอลเดอร์ที่ไม่มีวันจะผิดพลาดไปได้

แต่...บุคคลที่เขาจะต้องห่วงในขณะนี้คือแคท ลูกสาวตัวน้อย ๆ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้เจริญวัยขึ้นมาเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว เชสยืดร่างขึ้นยืนตัวตรง แทบจะไม่ได้ให้ความสนใจกับไม้เท้าที่ยันกายอยู่เมื่อครู่อีกต่อไป เขารู้ว่า...ณ เวลานี้ สิ่งที่เขาควรทำคือแสดงความเข้มแข็งออกมาให้เธอเห็น

แคทผวาวิ่งเข้ามากอดบิดาไว้ด้วยรอยยิ้มอิ่มสุขบนใบหน้า เธอกอดเชสไว้แน่น ในอ้อมแขนของกันและกันนั้น เชสอดที่จะเตือนตัวเองไม่ได้ว่าลูกสาวคนนี้ของเขาเป็นคนที่รักแรง เกลียดแรง อารมณ์ของแคทสามารถจะเปลี่ยนจากเสียงหัวเราะเริงรื่นอ่อนโยน เป็นโกรธเคืองได้รวดเร็วมาก

“รู้สึกดีจังเลยค่ะพ่อ ที่ได้กลับมาบ้านอีกครั้งหนึ่ง” เธอพูดด้วยน้ำเสียง

 

 

 

ตื้นตัน ก่อนจะผละออกจากอ้อมแขนของบิดา ดวงตาคู่สีเขียวฉายแววเปี่ยมสุข “เจสสีล่ะคะ?” เธอมองเลยร่างเชส ก่อนจะเอี้ยวตัวไปยิ้มยั่วพี่ชายที่เดินเข้ามาทางด้านหลัง “อย่าบอกหนูนะคะพ่อ ว่าเจ้าสาวของไทกำลังออกไปไล่ต้อนวัวอยู่ตรงไหนสักแห่ง”

“ไม่หรอก ตอนนี้รออยู่ที่บ้าน” เชสทันเห็นสายตาคมปลาบของลูกชายที่มองมา และสัมผัสเค้าแห่งความยุ่งยากที่กระจายอยู่ในอากาศ แต่แคทไม่ทันสังเกตเห็นอะไรทั้งสิ้น

“รอให้เห็นชุดนอนที่หนูซื้อมาให้เจสสีใส่คืนแต่งงานเสียก่อนเถอะน่า เอ... แต่คิด ๆ ดูแล้ว...บางที...พ่อไม่สมควรจะได้เห็นหรอกนะคะ” เธอยืดร่างขึ้น เอื้อมมาขยับปกเสื้อให้เขา ปากก็พูดอยู่ว่า “อย่างน้อย หนูว่าพ่อควรจะรอจนกว่าหนูจะเกลี้ยกล่อมให้พ่อยอมรับที่จะจัดงานแต่งงานขึ้นพร้อมกันสองคู่เลยจะดีกว่า หนูว่ามันตลกไปหน่อยนะคะ ที่เรพพ์กับหนูจะต้องรอไปแต่งตอนที่หนูเรียนสำเร็จเสียก่อน หนูว่ามัน...”

“แคท...” เชสคว้าข้อมือลูกสาวที่กำลังเคลื่อนไปมาอยู่กับปกเสื้อของเขาไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าบอกความแปลกใจเมื่อได้ยินบิดาเรียกด้วยสุ้มเสียงหนัก ๆ เช่นนั้น “แคท...พ่อมีข่าวร้าย...”

“ข่าวร้ายอะไรหรือคะ?” ดวงตาคู่นั้นกวาดไปทั่วใบหน้าอย่างจะหาคำตอบ “อย่าบอกนะคะว่าทาราตัดสินใจในนาทีสุดท้ายที่จะไม่ยอมหย่าขาดจากไท...เพราะเรื่องมันก็ถึงที่สุดแล้ว”

“เปล่า...ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก...เรื่องการหย่าน่ะเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว” เชส ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรื่องเกี่ยวกับเรพพ์น่ะ...มันเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อคืนนี้...”

“พระเจ้า...ไม่...” เธอเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ “แล้วเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสยังงั้นหรือคะ...เขาอยู่ไหนคะพ่อ...หนูจะรีบไปหาเขา”

เธอขยับจะผละออกจากอ้อมแขนของบิดา แต่เชสกระชับอ้อมแขนไว้มั่น แม้แต่ไทเองก็ยังก้าวเข้ามาจับไหล่น้องสาวไว้ทางด้านหลัง ให้แผงอกรองรับร่างเธอไว้อีกชั้น

“มันสายเกินไปนะ แคท” เชสบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เรพพ์เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ”

แคทลีนจ้องมองหน้าบิดา แววในดวงตาของเธอบอกทั้งความตกใจสุดขีด

 

 

เจ็บปวด และปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงในเรื่องนี้

“ไม่จริง...” เสียงที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบาปานเสียงกระซิบ “ไม่จริง...”

“พ่อเสียใจเหลือเกิน” ไม่มีคำพูดอื่นใดที่เชสจะเลือกใช้ได้ดีกว่านั้นได้

“ไม่จริง...” เธอเฝ้าแต่พร่ำคำนั้นอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า และเสียงที่เปล่งออกมาก็ค่อย ๆ เพิ่มความดังขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตะโกนออกมาสุดเสียง เชส รวบร่างที่ยืนตัวแข็งเข้าไว้ รอเวลาให้เธอได้ระบายอารมณ์รุนแรงนั้นออกมาอยู่เงียบ ๆ จนในที่สุดร่างในอ้อมแขนก็สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น

“ผมจะไปเอารถมาก่อนนะครับ” ไทเอ่ยขึ้น และเชสก็พยักหน้ารับ

เมื่อกระเป๋าเดินทางทุกใบขนถ่ายจากเครื่องบินเข้ามาใส่ในรถปิกอัพของไร่เรียบร้อยแล้ว และความโศกเศร้าอาดูรของแคทลีนสงบลง เหลือเพียงความเจ็บปวดที่ทำให้หัวใจชาด้าน ในยามนั้นที่เธอรู้สึกราวกับร่างกาย ได้กลายเป็นท่อนไม้ไปแล้ว ไม่อาจทักท้วงอะไรได้ เมื่อมือทั้งของพ่อและพี่ชายช่วยกันประคับประคองเธอไปขึ้นนั่งในรถ

เธอนั่งอยู่ระหว่างบุรุษทั้งสอง พาดศีรษะอยู่กับพนัก รานร้าวอยู่ในอก จนต้องหลับตาไว้ บางส่วนในห้องหัวใจบอกเธออยู่ว่า ต่อให้น้ำตาหมดโลกนี้ ก็ไม่อาจลบล้างความจริงที่มันได้เกิดขึ้นแล้วนี้ไปได้ แต่เธอก็ไม่คิดจะปาดน้ำตาที่ลามไหลอยู่บนร่องแก้มให้เหือดแห้ง ไม่มีแรงพอที่จะทำเช่นนั้นได้

 “มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ?” เสียงไทเอ่ยถามขึ้น

กับคำถามของพี่ชายประโยคนั้น ใจหนึ่งแคทอยากจะยกมือขึ้นอุดหู ไม่ ต้องการได้ยินได้ฟังคำตอบของบิดา ถ้าเป็นเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนที่เธอยังเยาว์วัยกว่าวันนี้ แคทอาจทำเช่นนั้น แต่วันนี้เธอโตแล้ว ฉลาดพอที่จะรู้ว่า การปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงนั้นเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างยิ่ง และมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ดังนั้นเธอจึงลืมตาและรับฟังคำตอบของเชสอย่างตั้งใจ

“เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะเจ้ารอลลี่ ลูกชายคนเล็กของนีล แอนเดอร์สัน ขับรถท่าไหนไม่รู้ข้ามเลนมา จากรอยยางที่ครูดไปกับพื้นถนน แสดงให้เห็นว่าเรพพ์พยายามหักพวงมาลัยเบี่ยงรถให้พ้นทางอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่รถปิกอัพคันนั้น มันพุ่งเข้าชนด้านคนขับเต็มเหนี่ยว...”

“แล้วรอลลี่เป็นยังไงบ้างครับ?” ไทถามต่อ

 

“ก็ได้แผลเหวอะตรงหน้าผากไป” น้ำเสียงเครียดเคร่งของพ่อในยามนี้ แทบจะจับต้องได้

“ถ้ายังงั้นก็แสดงว่าเจ้าหมอนั่นเมาจนขาดสติแน่” ไทพูดต่อด้วยน้ำเสียง เดียวกัน

“แอลกอฮอล์ในเลือดของมันเกินอัตราที่กำหนดไว้มาก ตัวมันเองก็สลบ เหมือดอยู่ในที่เกิดเหตุเหมือนกัน”

แคทพยายามกลั้นสะอื้นไว้ แต่ทำไม่สำเร็จ มันหลุดลอดออกมาเป็นเสียงแปลก ๆ ข้าง ๆ ตัวเธอ เสียงไทพ่นคำผรุสวาทออกมาอย่างรุนแรงคำหนึ่ง ก่อนจะนิ่งเงียบไป

ลมที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถพัดพาเอาเสียงร้องของวัวหนุ่มมาเข้าหู กลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิกรุ่นอยู่ใต้จมูกแคท มันเป็นสัญญาณแห่งวัฏจักรที่เวียนวนกลับมา เธออยากจะกรีดร้องใส่ทั้งเสียงและกลิ่นที่สัมผัสอยู่ ไม่อยากเห็นแม้แต่แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนพื้นแผ่นดิน แต่ไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมาจากลำคอได้เลย อาการตีบตันที่เกิดอยู่ในยามนี้มันสร้างความเจ็บร้าวอย่างเหลือจะบรรยาย

ความอบอุ่นจากฝ่ามือหยาบกร้านของพ่อที่สัมผัสอยู่กับเรือนกายในยามนี้ ให้ทั้งความอบอุ่นและพลังอันเข้มแข็ง ใจหนึ่งเธออยากจะหันไปหาซบหน้าลงกับแผงอกและร่ำไห้ออกมาให้สาสมใจ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง และอย่าหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาของพ่อ เพราะผู้ชายทุกคนในตระกูลคอลเดอร์ไม่เคยแสดงความเศร้าเสียใจออกมาให้ใครเห็น มันเป็นอะไรบางอย่างที่จะต้องเก็บกักไว้แต่เพียงในใจ อย่างดีก็จะได้เห็นเพียงแค่แววเจ็บปวดที่ฉายแสงอยู่ในดวงตาบ้าง ซึ่งก็เป็นเพียงบางครั้งเท่านั้น

เธอไม่เคยเห็นพ่อหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าเสียใจหลังจากที่แม่ตายลง แม้แต่สักครั้ง เธอรู้ว่าพ่อพยายามสกัดกั้นหยาดน้ำตาลงไว้ เพราะมันคือสัญญาณแห่งความอ่อนแอในหัวใจ และเมื่อมาถึงวันนี้ เธอก็ได้รู้ซึ้งว่าความเจ็บปวด ความเศร้าเสียใจของคนเรานั้น มันเป็นอะไรบางอย่างที่จะต้องรักษาไว้เป็นส่วนตัว มันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าใครจะมาเข้าใจได้

ดังนั้น เธอจึงสกัดกั้นมันไว้แต่เพียงภายใน ยอมรับการปลอบใจด้วยสัมผัสจากมือพ่ออยู่ราวไร้ความรู้สึก ในยามนี้เธอไม่ปรารถนาอะไรที่ยิ่งกว่านั้นอีกแล้ว

 

รถปิกอัพวิ่งเข้ามาหยุดลงเบื้องหน้าคฤหาสน์สองชั้นซึ่งบรรพบุรุษ ถึงสี่ชั่วอายุคนแห่งตระกูลคอลเดอร์เรียกคฤหาสน์หลังนี้ว่า ‘บ้าน’ ทุกคนที่อยู่อาศัยในแผ่นดินคอลเดอร์เรียกสถานที่แห่งนี้ง่าย ๆ ว่า ‘เดอะ โฮมสเตด’

มันเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเตี้ย ที่สามารถ มองเห็นกลุ่มอาคารหลังใหญ่น้อยที่รวมตัวกันอยู่ในบริเวณที่ต่ำลงไป เป็นองค์ประกอบอันสำคัญแห่งศูนย์บัญชาการแห่งไร่ปศุสัตว์ทริพพึล ซี. และคฤหาสน์หลังนี้คือสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรี ที่ประกาศความเป็นเจ้าของครอบครองผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งแผ่ตัวออกไปในทุกทิศทาง

ด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อท้น แคทลีนมองเห็นเจสสี นีลส์สตรีผู้กำลังจะเป็นเจ้าสาวของพี่ชายยืนรอรับอยู่บนระเบียงบ้านด้านหน้า เจสสีผู้มีเรือนร่าง สูงโปร่ง แต่งตัวตามแบบที่เคยชินมาชั่วชีวิต เธออยู่ในกางเกงยีน เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้าย และสวมรองเท้าบู๊ต สาวน้อยผู้นี้เกิดและเจริญวัยขึ้นในไร่ทริพพึล ซี.นี้เอง รากของเธอจึงหยั่งลึกลงในแผ่นดินอย่างยากจะถ่ายถอนขึ้นมาได้ ส่วนสามีภรรยานีลส์นั้นก็อยู่กับไร่แห่งนี้มานานมาก และรวมไปถึงเรพพ์ เทย์เลอร์กับพ่อแม่ของเขาด้วย

เรพพ์...แคทลีนสัมผัสความรู้สึกเจ็บปวดที่รานร้าวไปทั่วร่างเมื่อคิดถึงว่า...นับแต่นี้เป็นต้นไป เธอจะไม่มีวันได้เห็นหน้าเขาอีกแล้ว จะไม่มีวันได้สัมผัสอ้อมแขนที่เคยโอบรัดลงรอบกายอีกต่อไป

เรพพ์คือรักแรกและรักเดียวของเธอ ทว่า...เมื่อมาถึงวันนี้เขาก็จากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว ทอดทิ้งแคทไว้กับชีวิตที่จะมีแต่เพียงความว่างเปล่า ซึ่งเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทานทนต่อไปได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรเธอก็จำต้องทน ให้ได้...ซึ่งความรู้นี้เองที่มันทำให้เจ็บปวดยิ่งนัก

“แคท...” เธอรู้สึกว่ามีใครบางคนกระตุกมืออยู่ ตามมาด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งแต่อ่อนโยนของพ่อที่บอกว่า “มา...เราเข้าบ้านกันก่อนเถอะลูก”

เขาจับปลายศอกของเธอไว้ตอนที่แคทก้าวลงจากรถ เจสสีเดินออกมาต้อนรับ ความสนใจทั้งหมดมุ่งอยู่แต่แคทเพียงคนเดียว แต่ไม่ก่อนที่จะสบตากับไท แววในดวงตาของเธอฉายแสงแห่งความรักและบ่งบอกถึงความโล่งใจ ที่เขากลับมาหาเธออย่างปลอดภัย เมื่อเจสสีหันมามองหน้าแคทอีกครั้งนั้น ความสงสารเห็นใจฉายชัดอยู่ในดวงตา

แต่เจสสีไม่ได้เอ่ยถ้อยคำปลอบโยนใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่โอบไหล่แคทไว้

และบอกว่า

“ครอบครัวเทย์เลอร์เขาขอแสดงความเสียใจกับเธอด้วย...”

“นี่เธอพบกับพ่อแม่ของเขาแล้วหรือ?” แคทลีนถาม รู้สึกอยู่ว่าพ่อแม่ของเรพพ์เองก็ต้องพบกับความสูญเสียในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

“ก็...เมื่อเช้านี้ไปอยู่เป็นเพื่อนมาพักใหญ่” เจสสีตอบเรียบ ๆ

“ฉันอยากไปเยี่ยมพ่อแม่เรพพ์จัง” แคทลีนมองไปยังทิศทางที่ตั้งของบ้านหลังนั้น

“เอาไว้ก่อนเถอะ” เชสบอกกับลูกสาว

ลึกลงไปในใจ มันมีอะไรบางอย่างที่บอกแคทลีนอยู่ว่า สภาพจิตใจของเธอในขณะนี้ยังไม่เหมาะที่จะไปพบกับพ่อแม่ของเรพพ์ ดังนั้น เธอจึงยอมให้บิดาพาเดินเข้าบ้านแต่โดยดี ไม่ทันสังเกตด้วยซํ้าว่าเจสสีผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง และเดินเคียงข้างไทตามมา ต่างฝ่ายต่างสอดแขนเข้าโอบร่างกันและกันไว้ ราวต้องการความมั่นใจด้วยสัมผัสนั้น ขณะที่ต่างรู้สึกอยู่ว่าความตายเข้ามาอยู่ใกล้ตัวเหลือเกิน

ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่เงียบ ๆ ตรงไปยังห้องรับแขก กว้างขวาง เชสหยุดอยู่ข้างเก้าอี้นวมตัวโปรด ปล่อยมือที่จับแขนลูกสาวลง

“พ่อว่าเราหากาแฟมากินกันก่อนดีกว่า” เขาเอาไม้เท้าพิงไว้กับพนักเก้าอี้

“หนูไปชงให้ค่ะ” เจสสีเดินย้อนเข้าไปในครัว แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นแคทลีนยังเดินต่อตรงไปยังบันไดไม้โอ๊กที่ทอดขึ้นสู่ชั้นบน เชสเองก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ลูกสาวแสดงออกอยู่เหมือนกัน

“แคท...” หางเสียงนั้นบ่งบอกความห่วงใยเหลือล้น

 “หนูจะขึ้นห้องค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกคนต่างจับตามองตามร่างที่เดินตัวตรงขึ้นบันไดไปชั้นบน นวลแก้มเผือดซีดฉ่ำชื้นอยู่ด้วยคราบน้ำตา เพียงแต่มันหยุดลามไหลลงแล้วเท่านั้น

 เสียงไทพูดกับเจสสีเบา ๆ อยู่ว่า

“คุณน่าจะตามขึ้นไปด้วยนะ”

“อย่าเลยค่ะ” เจสสีสั่นหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ฉันคิดว่าตอนนี้ให้แคทอยู่ตามลำพังก่อนดีกว่า” เจสสีสัมผัสความรู้สึกไม่เห็นด้วยของไทได้ ซึ่งเธอก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกเช่นนั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไทมีความรู้สึกว่าน้องสาวของเขานั้นเป็นคนที่หัวรั้น

 

เอาแต่ใจตัวเอง ทั้งนี้เพราะถูกพ่อตามใจจนแทบจะเสียเด็ก แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ นอกเหนือจากมรดกความงามที่แคทลีนได้รับมาจากมารดาแล้ว เธอยังได้ความใจแข็งและยึดมั่นในศักดิ์ศรี อันเป็นคุณสมบัติพิเศษที่มีอยู่ในสายเลือดคอลเดอร์อย่างเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดถึงด้วย ดังนั้นในยามนี้สิ่งที่แคทลีนต้องการคือ ความเป็นส่วนตัวที่เธอสามารถจะระบายความโศกศัลย์นั่นเพียงลำพัง

“ช่างเถอะ แล้วพ่อจะขึ้นไปดูเอง” เชสตัดบท

เสียงประตูห้องชั้นบนที่ปิดปังลง ทำให้บุคคลทั้งสามที่เฝ้ากังวลห่วงใยอยู่ชั้นล่างต่างนั่งนิ่งขึงไปตาม ๆ กัน ในที่สุดเชสก็ทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้นวมเจสสีเดินเข้าไปชงกาแฟในครัว ไทถอดหมวกออกก่อนจะทิ้งตัวลงในเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง

“แล้วตอนนี้ตำรวจเขาจัดการยังไงกับรอลลี่ แอนเดอร์สันล่ะครับ...จับมันเข้าคุกหรือเปล่า?” ไทเอ่ยถามขึ้น

“ได้ยินมาว่าจะมีการตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาทันทีที่มันฟื้นคืนสติขึ้นมา พอที่จะทำความเข้าใจกับอะไร ๆ ได้แล้ว” ในน้ำเสียงที่ตอบแฝงกังวานแห่งความเคืองแค้นอยู่อย่างเห็นได้ชัด “พ่อรู้มาว่า ก่อนหน้านี้มันก็ถูกจับฐานขับรถขณะเมาเหล้ามาตั้งสามครั้งแล้ว ครั้งนี้คดีที่มันก่อขึ้นร้ายแรงมาก”

“ถ้าลูกต้องติดคุกนีลกับเมียก็คงแย่หน่อย”ไทแสดงความคิดเห็นขึ้นลอย ๆ “เพราะแอนเดอร์สันเองก็แก่มากแล้ว แถมยังเป็นโรคไขข้ออักเสบ ถ้าไม่มีคนช่วยก็คงจะทำไร่ปศุสัตว์ต่อไปไม่สำเร็จหรอก แถมยังไม่มีเงินจ้างคนงานอีกด้วย”

ครอบครัวแอนเดอร์สันเป็นเจ้าของไร่ปศุสัตว์เล็ก ๆ ซึ่งมีที่ดินอยู่ทางฟาก ตะวันออกของไร่ทริพพึล ซี. บ่อยครั้งที่ต้องตกอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ รอลลี่ แอนเดอร์สันเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนลูกชายสามคน และเป็นคนเดียวที่ยังอยู่กับพ่อแม่

“ถ้าแอนเดอร์สันฉลาดพอก็ควรจะขายบ้านขายไร่นั่นเสีย แล้วก็เกษียณไปได้แล้ว” เชสแสดงความคิดเห็นขณะที่เจสสีเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขก พร้อมด้วยถาดกาแฟ หยิบถ้วยควันกรุ่นใบหนึ่งวางลงบนโต๊ะเล็กข้างเก้าอี้ตัวที่เชสนั่ง

“ใครควรเกษียณจากการทำงานคะ?” เธอถาม

“ก็นีล แอนเดอร์สันน่ะสิ” ไทตอบ “เรากำลังพูดกันอยู่ว่ามันน่าจะ เป็นทางออกที่ดีมาก ถ้าเขาคิดจะขายไร่เสีย”

 

 

 

“ฉันไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นเร็วนักหรอก เพราะไร่นั้นมันมี ความหมายสำหรับนีล แอนเดอร์สันเท่า ๆ กับที่ไร่ทริพพึล ซี.มีความสำคัญสำหรับคุณนั่นแหละ” เจสสีมีนิสัยชอบแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเหมือนผู้ชาย “ฉันว่าเขาจะต้องเกาะเกี่ยวตัวเองอยู่กับมันจนกว่าจะถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเชียวละ”

“ฉันน่ะเชื่ออยู่แล้วละว่าเขาจะต้องทำอย่างนั้นแน่” เชสพูดอย่างเห็นด้วย ขณะที่เจสสีทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างไท พร้อมกับยื่นถ้วยกาแฟไปให้เขา

“ไทคะ...ไหนๆ ก็พูดกันถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันก็มีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูดกับคุณอยู่เหมือนกัน” เธอวางมือลงบนเข่าของเขาอย่างสำแดงออกถึงความเป็นเจ้าของ “คือ...ฉันคิดว่าในสถานการณ์ที่มันกำลังเป็นอยู่อย่างนี้ ฉันว่าเราน่าจะเลื่อนการแต่งงานออกไปเป็นอาทิตย์หน้าจะดีกว่านะคะ”

“คุณหมายความว่ายังไง...ทำไมถึงต้องเลื่อน?” หางเสียงที่ย้อนถาม บอกความไม่พอใจ

“คือ...ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ที่เราจะรีบร้อนแต่งงานกัน ทันทีที่ฝังศพเรพพ์เสร็จ”

“มันไม่เหมาะแน่ ถ้าเราเชิญแขกมาหมดทั้งเมือง แต่ว่านี่ก็มีกันแค่คนในครอบครัวของคุณแล้วก็ของผม...” ไทชะงักคำพูดอยู่เพียงแค่นั้น เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ “แคท...” สีหน้าและน้ำเสียงของเขาบอกความเข้าใจขึ้นมาทันที “นั่นสินะ ตั้งแต่ตอนที่ผมรับตัวน้องที่สนามบินในเฮเลน่า ในหัวของเธอไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากการวางแผนที่จะให้พ่อจัดงานแต่งงานพร้อมกันสองคู่” เขากุมมือเจสสีไว้อย่างรักใคร่ “คุณพูดถูกแล้วล่ะ งั้นเราเลื่อนออกไปสักอาทิตย์หนึ่งก็แล้วกัน อย่าให้นานเกินกว่านั้นเลย”

“ไม่นานกว่านั้นหรอกค่ะ” เธอยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวาน เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ไทรู้สึกอบอุ่นใจได้เสมอทุกครั้งที่ได้เห็น เขาบอกกับตัวเองอยู่ว่า...นี่คือ ความรัก ความเข้มแข็ง ความมั่นคงและความแน่นอนที่สุดในชีวิต

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต ไทก็ได้ตระหนักว่า แท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้รักทารา อดีตภรรยาคนนั้นเลย เขาเพียงแต่คลั่งไคล้ใหลหลงในความงามคมเข้มของเธอ แล้วก็เชื่อเอาจริง ๆ จัง ๆ ว่านั่นคือความรัก ไม่เคยคิดจะใส่ใจกับความจริงที่ว่า ทั้งเธอและเขาต่างไม่เคยมีความรู้สึกผูกพันหรือพร้อมที่จะเสียสละให้แก่กันมาก่อน จนกระทั่งเมื่อเขาได้มาพบเจสสี และเธอคือผู้ที่

 

 

ทำให้เขาตาสว่างขึ้น

“พ่อกำลังคิดอยู่ว่าตอนบ่ายวันนี้พ่อจะเข้าไปในบลูมูนสักหน่อย อยากไปดูสภาพรถปิกอัพคันนั้นว่ามันเสียหายมากน้อยแค่ไหน...” เชสเอ่ยออกมา “เท่าที่ได้รู้จากตำรวจทางหลวงคงจะไม่ต่างกว่าเศษเหล็กเท่าไหร่นักหรอก”

“งั้นผมจะไปกับพ่อด้วย’’ ไทสนองตอบ

แต่ทันใด...มันมีอะไรบางอย่าง...ที่เป็นความเคลื่อนไหวเงียบ ๆ แผ่วเบา ราวเสียงกระซิบ ที่ทำให้เขาต้องเหลือบสายตามองไปยังด้านในสุดของห้องโถงกว้าง

และแล้ว เขาก็ได้เห็นร่างผอมเกร็ง ดวงตาดำสนิท กับเรือนผมสีเทาเหล็กของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนหลบอยู่ในเงามืดตรงนั้น คูลเลย์ โอ’ร็อคยังคงรักษาสัญชาตญาณของหมาบ้าไว้ได้อย่างดี เขามักจะอยู่ตรงไหนสักแห่งเสมอ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัว แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาแสดงตัวออกมา ก็จะยืนรอเวลาอยู่อย่างเงียบกริบ และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาทำเช่นนั้น

“เฮลโล คูลเลย์...” แม้บุรุษผู้นี้จะเป็นพี่ชายของแม่ แต่ไทไม่เคยรู้สึกสนิทสนมถึงกับจะเอ่ยปากเรียกเขาว่า ‘ลุง’ ได้ เขายังจำความอาฆาตแค้นที่คูลเลย์มีต่อบุคคลในตระกูลคอลเดอร์ได้เป็นอย่างดี และแม้จะถึงเวลานี้ที่เวลาผ่านไปตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ไทก็ยังไม่เคยคิดจะวางใจในตัวคูลเลย์เลย

“ฉันได้ยินเสียงเครื่องบิน” คูลเลย์รูดปลายนิ้วอยู่กับขอบหมวกเก่าคร่ำ สายตาเลื่อนอยู่ไปมาระหว่างเชสกับไท “แคทล่ะ...กลับมาบ้านพร้อมกันหรือเปล่า?”

“อ๋อ...กลับมาครับ ตอนนี้อยู่ในห้องส่วนตัวชั้นบน” ถึงแม้ไทจะไม่ไว้วางใจในบุคลิกลักษณะของคูลเลย์ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อมั่นก็คือ ความรักที่คูลเลย์ มอบให้แก่แคท มันเป็นความรักกึ่งเทิดทูนบูชา อย่างที่คูลเลย์เคยมอบให้ มารดาของไทมาแล้ว

“ฉันอยากพบแกสักหน่อย...” สายตาของเขามองตรงไปที่เชส

“แล้วคุณรู้เรื่องเรพพ์หรือยังล่ะ?”

“ผมรู้เรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้เด็กคนนั้นถึงตายแล้ว ตอนนี้อยากพบแคท’’ เขากล่าวยํ้าคำเดิม

“เชิญ...” เชสอนุญาตแต่โดยดี

คูลเลย์ไม่ได้พูดต่อ เดินข้ามห้องไปด้วยฝีเท้าเงียบกริบ มุ่งหน้าไปยัง

 

บันไดไม้โอ๊ก ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องบอกเขาว่าห้องส่วนตัวของแคทอยู่ตรงไหน แม้ว่าเขาจะเคยเข้ามาในบ้านหลังนี้ไม่ถึงสิบครั้งก็ตาม

เขาเดาได้มานานแล้วว่าห้องนอนห้องไหนเป็นของแคท แทบทุกค่ำคืนที่ผ่านไป เขาจะเฝ้าจับตามองแสงไฟที่สาดสว่างออกมาทางหน้าต่างห้อง เขาไม่เคยถ่ายถอนคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับน้องสาว วันที่ฝังศพแม็กกี้ว่า เขาจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอให้ปลอดภัยจากภยันตรายทุกประการ

ในที่สุด ฝีเท้าเงียบกริบนั้นก็พาเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนแคท มันมีความลังเลเกิดอยู่บ้าง แต่ในที่สุดเขาก็ยกมือขึ้นเคาะเบา ๆ และรอเวลาที่จะได้ยินเสียงตอบรับจากภายในอยู่ แต่เมื่อไม่ได้ยินสุ้มเสียงอะไรเลย ความห่วงใยในตัวหลานสาวทำให้เขาลองขยับลูกบิดประตูดู เมื่อพบว่ามันไม่ได้ล็อกไว้ ก็ค่อย ๆ ดันประตูให้เปิดออก

มันเป็นห้องนอนที่ได้รับการตกแต่งไว้สวยงามมาก ลักษณะการจัดห้อง บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงเต็มตัวของผู้เป็นเจ้าของห้อง แต่ในค่ำคืนนี้ คูลเลย์ไม่ได้สังเกตอะไรทั้งสิ้น สายตาของเขามองตรงไปยังสาวน้อยผู้มีเรือนผมสีดำ ซึ่งขณะนี้ยืนนิ่งตัวตรงอยู่ข้างหน้าต่าง

คูลเลย์พิจารณาความรู้สึกที่หลานสาวแสดงออกอยู่ครู่ใหญ่ ทันที่จะ สังเกตเห็นความละม้ายคล้ายคลึงระหว่างแคทกับแม็กกี้ผู้เป็นมารดาอย่างมาก ซึ่งมันทำให้เขาต้องหวนคิดไปถึงวันที่พ่อของตัวเองถูกฆ่า วันนั้นสีหน้าของแม็กกี้ก็เผือดซีดไม่ต่างไปกว่าแคทลีนในวันนี้เลย ทั้งแววในดวงตาตู่สีเขียวเข้ม ก็ฉายแสงแห่งความเจ็บปวดอันเหลือจะหยั่งได้ เพียงแต่ไม่มีหยาดน้ำตาลามไหลออกมาให้เห็นเท่านั้น

คูลเลย์กำลังคิดอยู่ว่า บางทีหลานสาวจะไม่รับรู้การมาปรากฏตัวของเขาก็เป็นได้ แต่ทันใดแคทก็เอ่ยขึ้นว่า

“มีใครเขาบอกลุงหรือเปล่าล่ะคะ ว่าเรพพ์ตายแล้ว?” เธอถามด้วยน้ำ เสียงที่ไม่ยอมแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ ออกมาให้เห็นทั้งสิ้น

“ลุงรู้แล้ว” คูลเลย์เดินเข้าไปหาหลานสาว ปรารถนาที่จะได้โอบกอดร่างเล็ก ๆ นั้นไว้ ช่วยดูดซับเอาความทุกข์ออกมาจากหัวใจของสาวน้อยบ้าง แต่เขาใช้ชีวิตโดดเดี่ยวมานานมากจนแทบไม่รู้จักสัมผัสแบบนั้นแล้ว แต่ด้วยความกลัวตัวเองว่าจะทำอะไรที่น่าขัดเขินแบบนั้นออกไป คูลเลย์จึงแนบแขนทั้งสองไว้ข้างลำตัวแน่น

 

 

“แคท...ลุงรู้นะว่าเวลานี้หนูกำลังเจ็บปวดมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะช่วยให้หนูรู้สึกดีขึ้น ขอให้เชื่อลุงเถอะ”

เวลา...แคทอยากจะหัวเราะใส่หน้าคูลเลย์เสียนัก แต่เธอไม่ใจร้ายพอที่จะทำได้ เธอรู้ว่าในน้ำเสียงที่เอ่ยคำพูดประโยคนั้นออกมามันมีความขมขื่น แฝงอยู่ไม่น้อยเลย และยังรู้ต่อไปด้วยว่าคูลเลย์กำลังปลอบโยนเธออย่างสุจริตใจ ที่ทำได้ก็เพียงแค่พยักหน้าคล้อยตามและนิ่งเงียบอยู่

“ลุงอยากจะให้ตัวเองทำอะไรได้มากกว่านี้เหลือเกิน” คูลเลย์กล่าวต่อ “ขอบคุณค่ะ ลุง แต่คงไม่มีใครช่วยอะไรหนูได้หรอก”

ขณะที่ยังทอดสายตาเหม่อมองลงไปข้างล่างนั้น แคทสังเกตเห็นว่ามันมีความเคลื่อนไหวเกิดอยู่ และเมื่อเพ่งมองก็ได้พบว่าพ่อกับพี่ชายกำลังเดินไปที่รถปิกอัพ ครู่ต่อมารถคันนั้นก็วิ่งออกจากบริเวณบ้านโดยมีไทเป็นคนขับ ตอนแรกแคทคิดว่าบุคคลทั้งสองจะไปแวะเยี่ยมเยียนและแสดงความเสียใจกับครอบครัวเทย์เลอร์ แต่ปรากฏว่าไทเลี้ยวรถไปตามถนนอันเป็นเส้นทางออกไปสู่ประตูด้านตะวันออก

“อยากรู้จังว่าเขาไปไหนกัน...” เธอเอ่ยออกมาลอย ๆ

“ใครล่ะ?” คูลเลย์ก้าวเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างหลานสาวตรงหน้าต่าง

“พ่อกับไท”

“คงจะเข้ามาเมือง ตอนที่ลุงเข้ามาได้ยินพ่อของหนูพูดเป็นทำนองว่า อยากไปดูอยู่เหมือนกันว่ารถเสียหายมากน้อยแค่ไหน”

แต่สำหรับคูลเลย์ เขาเห็นรถคันนั้นมาก่อนแล้ว

เพราะเขารู้ว่าแคทจะกลับมาถึงบ้านวันนี้ คูลเลย์จึงแอบหลบเข้าไปในเมืองแต่เช้าตรู่เพื่อไปซื้อโดนัทช็อกโกแลตกับบราวนี่มาเตรียมไว้ เผื่อว่าหลานสาวจะแวะไปเยี่ยมเยียนที่กระท่อม ตอนที่เขาจอดรถลงหน้าร้านค้าเฟดเดอร์สันนั่นเอง ที่รถปิกอัพคันที่เกิดอุบัติเหตุถูกลากผ่านหน้าไป สายตาคมปลาบของเขาทันเห็นป้ายทริพพึล ซี.ที่เขียนด้วยสีติดอยู่ข้างตัวถัง เพียงแค่เห็นสภาพรถ ก็บอกได้เลยว่า ใครก็ตามที่นั่งอยู่ในรถคันนี้ไม่มีทางรอดชีวิตไปได้

ในแวบหนึ่งของความคิด เขาหวังเหลือเกินว่าบุคคลที่เป็นเหยื่ออุบัติเหตุครั้งนี้คือเชส คอลเดอร์ แม้เมื่อมาถึงวันนี้เขาจะไม่คิดอาฆาตพยาบาทในตัวเชสอีกต่อไปแล้ว แต่คูลเลย์แน่ใจว่าตนเองจะไม่รู้สึกเสียใจเลยถ้าบุคคลผู้นี้ตายเสียได้ อย่างดีก็คงจะแสดงความเสียใจกับหลานสาวที่ต้องสูญเสียพ่อไป

 

ในสภาพนั้นเท่านั้น

แต่เพียงครู่ เขาก็ได้รับทราบว่า คนที่ขับรถคันนั้นคือเรพพ์ เทย์เลอร์ ชายหนุ่มที่เป็นคนรักของแคท ความรักที่แคทมอบให้เรพพ์นั้น มันเป็นอะไรบางอย่างที่คูลเลย์ไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้ อาจจะเป็นเพราะเขามีความเชื่อว่า หลานสาวน่าจะได้พบและแต่งงานกับใครบางคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่างเหนือกว่า และดีกว่าเรพพ์ก็เป็นได้

“รถคันนั้นพังยับทั้งคัน” คูลเลย์บอก “มันกลายเป็นเศษเหล็กไปในพริบตา...ลุงคิดว่าเรพพ์ตายทันทีในที่เกิดเหตุนั่นแหละ แคท ตายโดยที่ไม่ทันจะได้รู้สึกเจ็บ ไม่ทันรู้ตัวด้วยซํ้าว่าถูกรถชน ลุงอยากให้หลานคิดว่ามันเป็นการดีที่เขาตายเสียได้ในตอนนั้น ไม่ต้องทนทรมานมากไปกว่านั้น”

“หนูไม่อยากให้ตัวเองคิดอะไรทั้งนั้นล่ะค่ะ ลุง” เธอตอบกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยิน

เขายกมือขึ้น ทำท่าคล้ายจะโอบกอดเธอไว้ แต่แล้วก็ปล่อยให้มันตกลงข้างตัว ไม่แน่ใจเลยว่าควรจะต้องทำอย่างไรหรือพูดอย่างไร

เขาทอดสายตามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง กลุ่มฝุ่นที่ลอยตัวขึ้นเมื่อรถวิ่งผ่านไปเพิ่งจะจางลงบ้างเท่านั้น...

 

 

 

 

 

 

 

 

บลูมูนอันเป็นตัวเมืองเล็ก ๆ นั้น มีเส้นทางหลวงขนาดสองเลนโอบล้อมไว้ ชุมชนแห่งนี้กับกลุ่มอาคารบ้านเรือนถ้าจะเปรียบก็คงไม่ต่างจากโอเอซิสซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดลับหูลับตา เป็นเพียงเครื่องพิสูจน์ส่วนเล็ก ๆ ว่า อย่างน้อยความเจริญก็ได้เข้ามาถึงทะเลหญ้าแห่งนี้ และกับความเป็นจริงที่ว่า บลูมูนเป็นเมืองเดียวที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนอื่น ๆ นับเป็นไมล์ ๆ ในทุกทิศทาง

ทว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง ประชากรของเมืองบลูมูนได้เพิ่มขึ้นถึงสามเท่า หลังจากที่บริษัทได - คอร์ปซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ในเท็กซัสได้เริ่มเข้ามาทำเหมืองถ่านทินในบริเวณที่เรียกกันว่าสต็อกแมน เพลซ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไรนัก ดังนั้น ความเจริญจึงเข้ามาสู่บลูมูนอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ชาวเมืองบลูมูนบ้างก็เห็นว่าเป็นสิ่งดี แต่บ้างก็ไม่เห็นด้วยเลย

ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบศตวรรษที่ไร่ทริพพึล ซี.ไม่ได้เป็นลูกค้ารายใหญ่ของร้านค้าต่าง ๆ ในเมืองบลูมูนอีกต่อไป ตำแหน่งนั้นตกมาเป็นของได-คอร์ปไปแล้ว ด้วยคนงานจำนวนมากกับครอบครัวของพวกเขานั่นเอง ถึงกระนั้นบุคคลในตระกูลคอลเดอร์ก็ยังเป็นที่ยอมรับนับถือของคนเก่าแก่ในเมืองนี้เช่นที่เคยเป็นมา

เมื่อรถปิกอัพของไร่ทริพพึล ซี.วิ่งเข้ามาจอดลงตรงหน้าบริเวณกลุ่มร้านค้าและปั๊มน้ำมัน เอ็มเมตต์ เฟดเดอร์สันได้หันมามองและเห็นเชสในทันที เขาผละจากอดีตนายอำเภอที่กำลังสนทนาอยู่ด้วยโดยไม่สนใจกับมรรยาท รีบรุดออกมาต้อนรับ

“เชส...ไท...” เขาผงกศีรษะทักทายเมื่อสองพ่อลูกลงจากรถ “ผมน่ะ รออยู่แล้ว เชื่อว่าจะต้องมีใครสักคนจากไร่มาที่นี่ แต่นึกไม่ถึงว่าคุณจะมาเอง เป็นยังไงบ้างล่ะ?”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (84 รายการ)

www.batorastore.com © 2024