ก่อนจะสิ้นเสน่หา (อุปถัมภ์ กองแก้ว)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“นี่แก ไอ้หนู นายจำนงอยู่ไหน?”

จอบอันเล็กหยุดเคลื่อนไหวจากหน้าที่ที่กำลังทำดินให้ซอยละเอียด หมวกใบลานเก่า ๆ หมุนมาทางเสียงถามก่อน ครั้นเห็นผู้ถามถนัดตาหมวกใบนั้นก็มีอาการกระตุกโดยแรง แล้วร่างเล็กในชุดทำงานมอมแมมก็หมุนมาทั้งร่าง กางเกงยีนเก่า ๆ ถูกตัดขาขึ้นมาเหนือเข่า ยังปล่อยชายรุ่งริ่งไม่มีการเย็บเล็มให้เรียบร้อย เสื้อเชิ้ตเก่าสีซีด มีรอยปะและรอยขาดในที่บางแห่งนั้นเป็น ‘ไอ้หนู’ ซึ่งกำลังยืนเอียงคอพิศดูผู้ทำตัวเป็นแขกอย่างทึ่งจัด

“เฮ่...” เป็นเสียงครางระคนหัวเราะดังมาจากไอ้หนู

“หัวเราะอะไร?” แขกคนหนึ่งจากจำนวนสองตะคอกอย่างขุ่นเคือง “ถามดี ๆ ยังจะมาหัวเราะอีก ไอ้เด็กบ้า”

“หัวเราะคุณน่ะแหละ ยังกะหลุดออกมาจากโลกพระอังคารแน่ะ หน้าตา

พิก๊ล”

“พิกลยังไง เด็กบ้า ตาต่ำเป็นตาชาวบ้านแล้วยังจะมาวิจารณ์ หน้าตาอย่างแกน่ะจะเคยเห็นเคยแต่งยังงี้เรอะ” สาวน้อยวิ่งนำสมัยไปหลายก้าวหันมาทำหน้าคว่ำกับชายหนุ่มหน้าตาคมสัน ซึ่งเป็นคู่ควงของหล่อน ตัดพ้อว่า “ธัน เห็นไหมคะ ได้ยินมันวิจารณ์โสหรือเปล่า ไม่รู้จะพาโสมาที่นี่ทำไมซิน่ะ”

“แล้วกัน ลืมไปแล้วหรือว่าคุณเองน่ะแหละร่ำร้องจะมาด้วย ธันจะพาไปส่งบ้านก่อนก็ไม่ยอม ที่นี่มันจะมีอะไร้” หนุ่มหน้าโก้ในเสื้อฮาวายลายเก๋ ชำเลืองดูไอ้หนู “บอกแล้วบ้านผู้รับเหมาก่อสร้างธรรมดา ๆ มาเจอเด็กแก่น ๆ เข้าโสก็ต้องรำคาญอย่างนี้แหละ”

“ไม่ได้ซีคะ โสต้องมา ต้องคุม ต้องรู้ให้หมดว่า ธันไปไหนบ้าง ธัน

 

 

 

ถึงไหนโสต้องถึงนั่น ทุกคนต้องรู้ว่า โสคือใคร?” เจ้าหล่อนลงท้ายอย่างภาคภูมิมั่นใจและโอ้อวด แม้ว่าในที่นั่นจะมีผู้ดูอยู่คนเดียวคือไอ้หนู โสภิตาก็คล้องแขนเข้ากับแขนฝ่ายชายและเอียงศีรษะลงแนบไหล่เขา

“เฮ่...” ช่วยไม่ได้ที่จะไม่ให้เสียงนี้เกิดขึ้นอีก ก็ไอ้หนูเพิ่งเคยเห็นคนที่กล้าประเจิดประเจ้ออย่างนี้นี่นะ เสียงเฮ่ครั้งหลังจึงค่อนข้างจะระคนด้วยเสียงหัวเราะมากกว่าเดิม

“ไอ้หน้าทะเล้น แกหัวเราะอะไร?” โสภิตา ตาบทิพย์ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามาจากโลกพระอังคารตวาดแหว

“หัวเราะคุณไงเล่า บอกเมื่อกี้ทีหนึ่งแล้วยังจำไม่ได้อีกเรอะ ยังดีนะที่เจอคน คนเพียงแต่หัวเราะเท่านั้น ถ้าเจอหมาละก็คุณเอ๋ย คุณต้องแต่งชุดนี้กลับบ้านแน่” คนพูดใช้นิ้วคีบขากางเกงยีนหลวมโพรกเพรกของตัวเองประกอบคำอธิบาย

“อุ๋ย! ทุเรศ คลื่นไส้ เหม็นสาบ ไม่มีวันเสียละที่ฉันจะแต่งไอ้ชุดขอทานนี้”

“ไม่แต่งยังไง ถ้าหมามันฟัดคุณ กระชากเสื้อผ้าคุณไปปูนอนเล่นเสียแล้วน่ะ”

“ต๊าย...ฟังนะคะ ธัน โสไม่ยอม ธันนิ่งฟังมันทำมั้ย...นี่จะมาหาไอ้เด็กบ้าคนนี้หรอกหรือคะ นายจำนงของคุณน่ะนึกยังไง ถึงจ้างเด็กคนใช้แบบนี้ โสอยากรู้จริง...นี่แกบอกมานะว่า...”

“กำลังจะบอกเดี๋ยวนี้แหละว่าคุณแต่งตัวตลกสิ้นดีเลย คุณไปซื้อผ้าชิ้นนี้มาจากไหนนะลวดลายมันยังกะเขาวงกตนั่นแน่ะ เวียนซ้าย วนขวา แล้วสีสันก็เจ้าประคุณเอ๋ย เคี้ยว...เขียวอย่าบอกใครเลยเชียว ถึงบอกก็ไม่มีใครเชื่อว่ามีสีเขียวยังงี้อยู่ในโลก กระโปรงคุณนี่ช่างไหนตัดนะ เขาวัดตัวคุณผิด หรือผ้าไม่พอกันแน่ ยังไอ้ถุงเท้าลายเฉลียงสีม่วงนี่อีก เท่สาหัสเชียวคุณ ดีตะว่ามันเป็นม่วงอ่อนหน่อยหรอกนะ พอจัดเข้าหลักทฤษฎีสีได้ แต่แหม... ร้าย...ร้ายมันเข้ากับม่วงที่เปลือกตาคุณเหลือเกินเชียวละ นี่...ระวังนะคุณ ถ้าคุณผู้ชายจะเดินผ่านป่าช้าไปธุระละก็ อย่าได้ตามไปเชียวนะ หมาหอนตายเลย”

หญิงสาวผู้ถูกวิจารณ์การแต่งกายแบบ ‘หั่นแหลก’ ร้องกรีดเต็มเสียง เต้นเร่า ๆ อย่างแค้นเคืองเป็นที่สุด

“โธ่! โส อย่าเอะอะไปน่า นี่...เราน่ะ หยุดพูดเสียที แล้วไปบอกคุณ

 

 

จำนงหน่อยว่า มีแขกมาหา ไป๊” ชายหนุ่มห้าม ‘โส’ แล้วหันมาบอกไอ้หนูเสียงเครียด “ทำไม นายเขาไม่สั่งสอนบ้างดอกหรือว่า มารยาทในการต้อนรับแขกน่ะมีอะไรบ้าง”

ไอ้หนูยักไหล่ ย้อนถามด้วยสำนวนชั้นดีให้เป็นที่ฉงนเล่นว่า

“จะให้บอกคุณจำนงว่าใครมาหาล่ะ?”

“บอกว่า คุณธันยกรมารับไปพัทยาตามที่ตกลงกันไว้ แล้วก็...เราน่ะ หัดพูดจาให้มันมีหางเสียงชวนฟังเสียมั่งซี”

ไอ้หนูไม่สนใจในคำอบรมกึ่งตำหนิ กลับยิ้มอย่างรื่นเริง ตอนนี้เองชายหนุ่มต้องนึกในใจว่าเด็กคนนี้ฟันสวยมาก เวลายิ้มแล้วนัยน์ตาเหมือนประกายดาว เสียอย่างเดียวเป็นผู้ชาย แล้วปากจัดบรม เด็กอะไร้!

“คุณธันยกร กับ โส...โส อะไรฮะ?”

ธันยกรจุ๊ย์ปากอย่างรำคาญ ไม่ทันเฉลียวถึงเล่ห์กลบางอย่างในแววตา อันเหมือนประกายดาวนั้น

“นี่ อย่าพยายามไปแหย่คุณโสเขาอีกเลย เขาไม่เกี่ยวกับงานอาชีพของคุณจำนงหรอก ฉันคนเดียวที่นำลาภมาให้ ไปบอกคุณจำนงเสียทีไป๊”

“บอกให้รู้ไว้ก็ได้ คุณธันยกรมากับคุณโสภิตา ตาบทิพย์” สุภาพสตรีผู้ควงแขนธันยกรอยู่ตลอดเวลาร้องบอกออกมาอย่างเย่อหยิ่ง

นัยน์ตาคม แพรวพรายของไอ้หนูชำเลืองปราดดูหน้าคุณธันยกรอย่างนึกขำ เขามีอะไรดีขนาดไหน แม่สาวชาวโลกพระอังคารจึงประกาศตัวเองเป็นผู้ควบคุมถึงขนาดนี้ ประกาศนามสกุลของเจ้าหล่อนเองเสียด้วยนา แต่จะเป็นเพราะต้องการแสดงความยิ่งใหญ่ในสกุลหรือใหญ่ยิ่งเหนือคุณธันยกรก็ตามเถอะ คำว่า ‘อาชีพของคุณจำนง’ ก็เป็นเครื่องเตือนสติที่ดีพอใช้ ไอ้หนูทิ้งจอบ หมุนตัวกลับ ออกวิ่งไปยังบันไดบ้านทันที

เท่าที่สายตาของผู้เป็นแขกมองเห็น เรือนไม้สองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ ของนายจำนงผู้มีอาชีพทางรับเหมาก่อสร้าง ดูเหมือนจะแสดงนิสัยสมถะ ของผู้เป็นเจ้าของได้ชัดเจน รอบ ๆ ตัวบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่นานาชนิด ทั้งให้ดอกให้ผลและให้ใบอันงามแปลก ธันยกรก้มลงมองดูแปลงดินที่ไอ้หนูเพิ่งจะละไป แสดงว่าคนบ้านนี้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างรักต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ

“รก!” โสภิตาสรุปได้คำเดียว

 

“อะไร โส?”

“โสว่ารกยังกะป่าแน่ะ ธันก็ช่างมาเสาะหาช่างก่อสร้างพรรค์นี้ ดูซีคะ แม้แต่ที่อยู่ของตัวเองก็ไม่มีปัญญาจะตกแต่งให้น่าดูกว่านี้สักหน่อย ถ้าไม่บอกแต่แรก โสคงนึกว่า ธันพามาบ้านตาแก่ช่างจักสานตอกให้เป็นกระบุงตะกร้ามากกว่า”

“อะไรได้ ฝีมือแกน่ะ ช่างสมัยนี้ทำอะไรไม่ได้เชียวนะ ละเอียดประณีต ขนาดพี่การยังชมเปาะ”

“พี่การของธันน่ะหรือ ชมทั้งนั้นแหละถ้าคิดราคาไม่แพงนัก” โสภิตา ยิ้มอย่างหมิ่น ๆ “ทุเรศจัง ธันนี่ก็โสรู้จักสถาปนิกเก่ง ๆ แล้วทันสมัยตั้งหลายคน จะพาไปก็ไม่เอา สมบ้านพักชายทะเลของธันที่พัทยานี่คงมีคนมาเช่าทั้งปีแน่”

“โธ่! อย่าเพิ่งดูถูกแกน่า โส ราคาไม่แพงน่ะซีดี แต่ไม่ใช่เพราะเหตุนั้นหรอกที่เราอดมาจ้างแกไม่ได้น่ะ ของราคาถูกไม่ใช่ฝีมือเลวเสมอไปหรอกนะ คุณจำนงคนนี้แกเป็นคนชนิดที่ขอให้ได้ทำงานจนถูกใจผู้จ้าง และตัวแกเองพอใจเถอะ กำไรน้อยหน่อยไม่ว่า ผิดกับช่างทั่วไปสมัยนี้ ตั้งราคากันไว้สูงลิบเชียว พอลงมือทำงานก็เอาแล้ว เลี่ยงโน่นเลี่ยงนี่ ต้องคุมต้องเถียงกันไปเถอะ ขอให้เหลือกำไรสุทธิก้อนโตเป็นใช้ได้ ธันติดใจที่คุณจำนงแกประมาณฝีมือแกไว้จนเงินเทียบไม่ถึง เราติดต่อกันมาจนรู้ใจกัน ก็เลยไม่อยากเสียลูกค้าทั้งฝ่ายเราฝ่ายแก”

“ชี่ย! โสว่า แกรู้ฝีมือแกน่ะซี เลยไม่กล้าเรียกแพงไงล่ะ”

“ฮื่อ โสน่า...แกออกมานั่นแล้ว เราเดินไปหาแกเถอะ อย่าไปพูดอะไรๆ ตามความเข้าใจของโสต่อหน้าแกนะ เกรงใจแก แกดีกับธันเหลือเกิน ถ้าโสคุ้นเคยมากกว่านี้ โสจะเห็นว่าแกเป็นคนน่าคบทีเดียวแหละ”

“น่าคบเพราะมีลูกสาวสวยหรือเปล่าคะ?

“โธ่...โสละก็ รู้ไว้นะจ๊ะว่าธันไม่มีตาเหลือสำหรับมองใครอีกแล้ว นอก จากโสคนเดียวเท่านั้น จนป่านนี้ธันยังไม่รู้เลยว่า ตาจำนงแกมีลูกกี่คน สาวหรือหนุ่ม ในบ้านนี้ธันรู้จักแกคนเดียวด้วยซ้ำไป” ธันยกรชี้แจงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จนกระทั่งควงแขนคนรักเข้าไปถึงตัวเจ้าของบ้าน ซึ่งออกมายืนรอรับ สีหน้าของเขาจึงขรึมเฉยเป็นปกติ

“สวัสดีครับ คุณธันยกร คุณโสภิตา เชิญนั่งพักในห้องรับแขกก่อน” นาย

 

 

จำนงพนมมือไหว้ผู้มาก่อน โดยไม่รอดูท่าทีหรือคำนึงถึงอายุและมารยาทของแขก แม้เมื่อธันยกรรับไหว้ และโสภิตาเพียงก้มศีรษะรับ ชายกลางคนก็มิได้ใส่ใจคิด

“ไม่ต้องดีกว่าครับ คุณจำนงพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมเราจะไปกันเลยดีกว่า กว่าจะถึงพัทยาก็สายโขอยู่แล้ว”

นายจำนงอึกอักเล็กน้อย

“เอ้อ...คุณโสภิตาคงจะถือโอกาสไปเที่ยวด้วยกระมังครับ?”

“ไม่ใช่หรอกครับ ที่จริงผมแวะชวนเธอ เธอไม่ไป แต่ตามมาส่งที่นี่ เดี๋ยวผมต้องพาเธอไปส่งบ้านเสียก่อนครับ”

“งั้น...ผมต้องขออนุญาตคุณธันยกรพาลูกผมไปด้วยคนได้ไหมครับ เขาเพิ่งออกมาจากโรงเรียนอยากเห็นทะเลเต็มแก่ ไอ้ผมก็สงสาร”

ธันยกรเม้มปาก

“ไอ้เด็กเมื่อกี้ละซีท่า” โสภิตาเอ่ยเป็นคำแรก “ครับ นี่เขากำลังไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่”

“เคราะห์ดีที่โสคิดไม่ไปเสียแต่แรก ไม่งั้นคงน่าดู ไม่ไหวค่ะลูกของนาย จำนงน่ะแก่นเหลือกำลัง ปากงี้...”

ธันยกรสะกิดเอวคนรักของเขาเบา ๆ นายจำนงหัวเราะแหะ ๆ

“ครับ เขาช่างพูดอยู่ ไอ้ผมน่ะ...ลูกกำพร้าแม่ครับ บางทีก็คงมีอะไรขาด ๆ เกิน ๆ ไปมั่งเหมือนกัน ขอประทานโทษเถอะครับ แน่ะ! เขาออกมาแล้วแต่งตัวไม่ช้าหรอกครับลูกคนนี้”

ไอ้หนูคนเก่าในเครื่องแต่งตัวใหม่ที่ดูเอี่ยมสะอาดและไม่อนาถาอย่างชุดเมื่อกี้ รวมทั้งหมวกใบลานปีกกว้าง ปีกฟางอย่างเก๋ทำให้ดูพอเหมาะสำหรับการนั่งรถไปเที่ยวทางไกล เบื้องหลังไอ้หนูคือหญิงกลางคน นุ่งผ้าลายโจงกระเบน ใส่เสื้อขาวหม่น ๆ เดินตามออกมาด้วย สิ่งที่ธันยกรค่อนข้างจะพอใจก็คือ ในมือไอ้หนูทั้งสองข้าง ถือแก้วน้ำสีน้ำเงินเข้ม จานรองและฝาครอบเป็นเงิน วาววับทีเดียว เขาเป็นคนกระหายน้ำเก่ง และแน่ใจว่าไอ้หนูเตรียมออกมาสำหรับแขกแน่ ๆ

“อ้อ! คุณป้าออกมาส่งหลานด้วย” นายจำนงทักหญิงกลางคนและ

 

 

แนะนำอย่างกันเอง “นี่คุณธันยกรกับคุณโสภิตา ที่ท่านจะมารับผมไปดูที่ที่พัทยาวันนี้ไงล่ะ นี่พี่สาวผมครับ พี่สมจิต พี่สมจิตเป็นแม่บ้านให้ผมด้วยครับ คราวหลังถ้าไม่พบผมละก็สั่งพี่สมจิตไว้ได้ทุกอย่างครับ”

ทุกคนต่างแลกการเคารพกันอย่างสุภาพ ยกเว้นโสภิตา

“นี่เขาจะไปเที่ยวด้วยค่ะ คุณ อิฉันห้ามว่าอย่าไปทำให้พ่อเขาเป็นห่วงเลยก็ไม่เชื่อ ข้างพ่อก็ตามใจลูกเป็นแก้วตาเหมือนกันซีคะ อะไรควรห้ามก็ไม่ห้าม ตามใจกันตะพึดตะพือ ตัวเองไปทำงานแล้วยังจะพ่วงลูกไปให้รำคาญ อีกหน่อยก็ไม่มีใครเขาจ้างหรอกแบบนี้” นางสมจิตสำแดงความช่างพูดออกมา ในวาระแรกที่มีโอกาส

“ไม่เป็นไรครับ เด็กคนเดียวคงไม่กวนเท่าไหร่”

ไอ้หนูทำตาเหลือกนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินคำว่า ‘เด็กคนเดียว’ แต่รีบระงับโดยเร็ว ก้าวเข้ามาคุกเข่าส่งแก้วทั้งสองให้แขกคนละแก้ว

“เชิญค่ะ เชิญดื่มเสียหน่อยแก้กระหาย เป็นธรรมเนียมค่ะคุณ”

น่าดู! คุณป้ากับคุณหลานพูดเก่งพอ ๆ กันธันยกรซ่อนยิ้มไว้ในหน้า เปิดฝาครอบแก้วออกด้วยมือข้างหนึ่ง ตั้งใจจะดื่มให้สมกับความกระหาย เขายกแก้วขึ้นจดริมฝีปาก...

กลิ่นที่พวยพุ่งออกมาเตะจมูกเต็มแรงนั้นคือกลิ่นของยาลมชนิดหนึ่ง!

เลือดในกายดูเหมือนจะพร้อมใจกันวิ่งแข่งออกมาตามปลายเส้นโลหิตฝอยทุกเส้น ธันยกรรู้สึกร้อนฉ่าไปหมดทั้งตัว ตั้งแต่เกิดมาก็ครั้งนี้แหละที่เสียรู้คน ไอ้เด็กแก่นแก้วคนนี้วาดลวดลายกับเขาเข้าบ้างแล้วซี มิน่าล่ะ ลงทุนคุกเข่านอบน้อม ทั้งที่เพิ่งจะวิจารณ์โสภิตาอย่างเจ็บปวดไปเมื่อสักครู่นี้เอง ดูนัยน์ตาของมันมั่งซี ยิ้มจนพราวไปหมด มันคงเห็นแล้วว่าเขาชะงัก!

“ดื่มเถอะครับ สักจิบก็ยังดี อย่าให้เสียใจคนหามาเลย” นายจำนง สนับสนุนอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

ไอ้หนูกำลังกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง เขาเองก็คงไม่ซีดไปกว่ามันนัก เอาละ ยังดีกว่าจะให้นายจำนงเสียน้ำใจ เพราะถึงยังไงยาลมก็ยังดีกว่าน้ำเกลือ!

ธันยกรจิบน้ำยาลมเย็นเจี๊ยบพอเป็นพิธีแล้วยื่นแก้วคืนให้ไอ้หนูตัวดี ซึ่งกำลังก้มหน้าปัดมดจากชายเสื้อ ก่อนจะเงยขึ้นรับแก้ว ธันยกรเห็นว่านัยน์ตาของมันดำขลับ และมีกระแสรุนแรงพิกล โสภิตาเพิ่งจะคืนแก้วมาทีหลัง เขา

 

ออกจะสนใจ อยากรู้ว่าในนั้นบรรจุยาชนิดไหนไว้?

“รสดีนี่คะ น้ำผลไม้จากบริษัทอะไรไม่ทราบ”

ต้องดีจริง ๆ มิฉะนั้นโสภิตาซึ่งไม่มีความเลื่อมใสสิ่งใดในบ้านนี้เลย คงไม่หลุดปากชมออกมาเป็นแน่

“รายนั้นเขาปรุงเองครับ น้ำพุทรากระมัง ฝีมือน้ำพุทราของเขาเยี่ยมกว่าอย่างอื่นครับ” นายจำนงตอบอย่างชื่นอกชื่นใจในขณะที่ ‘รายนั้น’ คล้อยหลังนำแก้วไปเก็บ “ก็คงได้รสมือมาจากป้าเขาแหละครับ”

โสภิตานิ่งเงียบ ส่วนคุณป้าสมจิตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนธันยกรออกจะหมั่นไส้ ริมฝีปากได้รูปสวยของเขาจึงแย้มเป็นรอยเยาะ ชาวบ้าน...ชมกันเองก็ได้!

ไอ้หนูกลับออกมาใหม่ คราวนี้รอยความรู้สึกต่าง ๆ ในแววตาคู่นั้นหายไปแล้ว สวมรองเท้าสานออกมาเสร็จสรรพ

“ไอ้โก๋!” ธันยกรค่อนทั้งที่รู้สึกตัวว่า เขาเองก็ออกจะลดตัวลงไปชวนทะเลาะกับเด็กเจ้ากรรมคนนี้มากเกินไปเสียแล้ว จึงออกปากลานางสมจิต แล้วเดินดุ่มตามโสภิตามาขึ้นรถซึ่งจอดอยู่หน้าประตูบ้าน

ขณะขับรถมาตามถนนสุขุมวิท ธันยกรรู้สึกผิดหวังเพราะไม่ได้เห็นความตื่นเต้นในสีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่แววตาของ ‘ไอ้หนู’ เลยแม้แต่น้อย

“ธันต้องไม่ลืมนะคะว่า กลับมาเมื่อไรต้องแวะหาโสก่อน” โสภิตาฉะอ้อน ขณะที่ธันยกรเลี้ยวรถเข้ามาส่งหล่อนถึงบันไดตึกอันโอ่อ่าสีฟ้าอ่อนตอนต้น ๆ ซอยหนึ่ง

ชายหนุ่มพยักหน้าและยิ้มให้ พ่อลูกซึ่งนั่งตอนหลังต่างเห็นเต็มตาว่า หญิง สาวเผยอหน้าขึ้นจุ๊บปลายคางเขานิดหนึ่งก่อนจะลงรถไป ธันยกรมัวสาละวนต่อการโบกมืออำลาแม่สาวโลกพระอังคารเสียจึงไม่ทันเฉลียวคิดเมื่อไอ้หนูเองบอกพ่อว่า

“พ่อไปนั่งตอนหน้าซีฮะ”

เห็นว่ามีคนนั่งข้าง ๆ แล้วธันยกรจึงนำเบนซ์คู่ใจของเขาทะยานออกจากที่นั่นมุ่งปากน้ำ สมุทรปราการทันที และที่ชลบุรีนั่นเอง เขาแวะร้านอาหารใหญ่ร้านหนึ่ง สั่งอาหารทะเลทุกชนิดที่มีโชว์ในตู้แล้วตัวเองเข้าไปล้างมือหลังร้าน เมื่อกลับออกมาเห็นไอ้หนูนั่งจ้องมองไปนอกร้านอย่างเพลิดเพลินตามลำพัง

 

 

ความคิดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เขาจึงเดินอาด ๆ ไปยืนขวางสายตาของมันเสีย ถามห้วน ๆ นัยน์ตาขุ่นเขียวว่า

“ทำไมเมื่อเช้านี้จึงเอายาลมออกมาให้ฉันกินแทนน้ำพุทราแสนวิเศษ ของเรา?”

ไอ้หนูมองตอบด้วยแววตาแงวแหวว แสนจะบริสุทธิ์ที่สุด

“ก็...นักว่าเหมาะที่สุดสำหรับคุณนี่ เสื้อคุณโสน่ะมองดูแล้วน่าเวียนหัวจะตาย!”

นายจำนง วรวิทย์เดินยิ้มร่ามาจากร้านขายของพื้นเมืองฝั่งตรงข้าม ไม่เปิดโอกาสให้ธันยกรแสดงความขุ่นเคืองสิ่งใดออกมามากไปกว่าใบหน้าอันบึ้งตึง แววตาแข็งกร้าว แล้วสะบัดหน้าไปจากสายตาของ ‘ไอ้หนู’ จอมกวนคนนั้น ยังผลให้ผู้ถูกเมินมองก้มหน้าลงแลบลิ้นกับโต๊ะอาหารพลางยิ้มอย่างขบขัน

“พ่อข้ามไปฝั่งโน้น เลยซื้อผ้าอ่างหินไปฝากคุณป้าเขาสองผืนดูซิ นันท์”

นายจำนงยื่นถุงใส่ผ้าให้ลูกซึ่งฝ่ายนั้นก็รับไปดู ๆ อย่างไม่สู้เอาใจใส่นัก แล้ววางไว้ข้างตัว

“เชิญรับประทานอาหารได้แล้ว” ผู้เป็นนายจ้างและเป็นผู้ต้อนรับเลี้ยงดูกล่าวเชิญห้วน ๆ

“ครับ ครับ ลงมือเลยก็ดีเหมือนกัน จะได้ถึงเร็ว ๆ กลับเร็ว ๆ”

ธันยกรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

“หวังว่าคงไม่ทันค่ำคงกลับถึงบ้าน ผมอยากให้คุณจำนงไปเห็นทิศทาง ที่ตั้งเสียหน่อยเท่านั้น”

“ครับ ครับ คงไม่เสียเวลาเท่าไหร่ เพราะอย่างอื่นเราดูจากโฉนดได้”

“ไม่ใช่โฉนด แผนที่ที่ดิน” ธันยกรแย้ง

“ครับ  ครับ”

คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาตักข้าวใส่จานให้ผู้ชายสองคน นึกในใจว่า บิดาช่างมีวาจาที่อ่อนน้อมต่อ ‘ธันยกร’ เป็นอย่างยิ่ง ส่วนข้างคุณธันยกรเองก็รู้สึกว่าเด็กนันท์คนนี้ทำงานของผู้หญิงได้แคล่วคล่องว่องไว และเรียบร้อยพอใช้ มือยาวเรียวปลายนิ้วประดับด้วยเล็บเป็นเงาสีชมพูจาง ปลายเล็บสะอาดตัดมนตามรูปนิ้ว ดูไม่น่าจะเป็นเล็บของเด็กผู้ชายที่ชอบคลุกคลีกับงานขุดดิน ดายหญ้าอย่างเขาเคยเห็นเมื่อก่อนหน้านี้เลย

 

 

“ต้มยำกุ้งเห็ด ปลาหมึกอ่อนยัดไส้ทอดจิ้มซอส ไข่ทอดหอยนางรม แล้วก็นี่ผมชอบมาก หอยแครงยำ ไม่รู้ว่าจะถูกใจคุณจำนงมั่งหรือเปล่า เด็กกินได้ไหม? ถ้าไม่ชอบหรือกินไม่ได้ จะสั่งอะไรอีกก็ตามใจ”

“โอ๊ย! ได้ครับ เท่านี้ก็ถมเถไปแล้ว สั่งมาอีกให้กินไม่หมดทำไม” นายจำนงตอบอย่างเกรงอกเกรงใจ “นันท์ก็ไม่ค่อยเกี่ยงอาหารทะเลไม่ใช่หรือลูก?”

ธันยกรไม่ได้ยินเสียงตอบและเขาก็ไม่อยากมองดูท่าทางที่คิดว่าคงจะ กะลิ้มกะเหลี่ยกับอาหารที่ชอบเต็มที่ จึงไม่ได้เห็นผิวแก้มยองไอ้หนูซับโลหิตเป็นสีชมพูขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณจำนงคิดว่า พวกวัสดุในการก่อสร้างนี่เราควรจะซื้อมาจากกรุงเทพฯ หรือซื้อเอาแถวนี้?”

“ซื้อจากกรุงเทพฯ ราคาอาจจะถูกกว่าที่นี่แต่ต้องเสียค่าขนส่งพอ ๆ กับที่เขาส่งมาที่นี่ซึ่งมันคงบวกเสร็จสรรพเข้าไปกับค่าวัสดุ แล้วอ้างว่าส่งให้เรา ถ้าเราซื้อจากที่นี่ กำไรที่เขาคิดไว้ก็คงพอกับค่าขนส่งจากที่นี่ไปถึงพัทยาเหมือนกัน”

“เอาละ เอาละ แล้วคุณจำนงลองสืบราคาดูก็แล้วกัน ถ้าที่นี่จะแพงกว่านิดหน่อย แต่มันสะดวกกว่ากันก็เอาที่นี่เถอะ ถ้าทำได้เมื่อไรคุณก็คงจะต้องมาตั้งแคมป์ที่พัทยาแน่ละ”

“ครับ ก็คงจะต้องยังงั้น จนกว่าจะเสร็จ”

“หลายวันเหมือนกัน รู้ไว้ด้วยนะว่าผมต้องการให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้”

“ครับ ผมทราบแล้ว” นายจำนงตอบยิ้มๆ เป็นทำนองรู้จักความใจร้อน ใจเร็วของนายจ้างผู้นี้ดีเสมอรู้จักตัวเองนั่นทีเดียว

จากชลบุรี ธันยกรขับรถด้วยอัตราความเร็วเท่าเดิม เขาสนทนากับนายจำนงด้วยเรื่องการก่อสร้างที่จะตกลงว่าจ้างกันในรายละเอียดต่าง ๆ ปล่อยให้ ‘ไอ้หนู’ นั่งมองสิ่งต่าง ๆ มาตลอดทางอย่างเพลิดเพลิน ครั้นนานเข้าลมเย็นปะทะเฉื่อยฉิวเข้ามาไม่ขาดระยะหนังตาก็ชักจะถ่วงหนัก ทวีความง่วงงุนยิ่งขึ้นทุกทีจนสุดที่จะฝืนตัวเองอยู่ได้ก็ปล่อยอารมณ์ให้เข้าสู่ภวังค์ แต่ไม่ก่อนจะเห็นมือแข็งแรงสีน้ำตาลอ่อนประทับมั่นกับพวงมาลัยรถราวกับจะยืนยันถึงความปลอดภัยทั้งมวล

 

มาสะดุ้งตื่นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมด้วยความรู้สึกอันแจ่มใส ขณะนั้นรถจอดสนิทมานานเท่าใดแล้วไม่อาจทราบได้ ลมพัดอู้ได้ยินชัดเจน นี่เองทะเล!

นัยน์ตาดำสนิท คมวาว เบิกกว้างอย่างตื่นเต้นขณะยืดกายตรงชะเง้อดูแนวคลื่นซึ่งวิ่งไล่ทยอยกันเข้าซัดสาดชายหาด เสียงดังโครมซ่า เดี๋ยวดังตรงโน้นเดี๋ยวดังตรงนี้ ตลอดแนวหาดทรายสีขาวยาวเหยียดผสมกับเสียงทิวมะพร้าวสลัดใบยามลมทะเลพัดมาต้องราวกับเสียงดนตรีชวนให้ใจหฤหรรษ์จนบอกไม่ถูก ร่างเล็กโดดแผล็วออกมานอกรถโดยเร็ว เจ้าของรถกับบิดาจะเดินไปทางไหนมิได้สนใจ กางแขนออกทั้งสองข้างวิ่งถลาลงชายหาด และตรงไปยังทะเล โดยมิได้ลดความเร็วลงเลย ดูราวกับตั้งใจจะไปให้ถึงขอบโลกซึ่งมองเห็นแนวน้ำจดขอบฟ้าเบื้องหน้าโน้น

วิ่งลงไป ลุยน้ำลงไปทั้งรองเท้า ทั้งกางเกงจนเปียกถึงต้นขาจึงหยุดนิ่ง พินิจดูน้ำทะเลเสียจนสาแก่ใจที่ใฝ่ฝันคร่ำครวญอยากเห็นนักหนา จนกระทั่งหักความกลัวคุณป้าทิ้งเสีย แล้วทำใจกล้าตามพ่อมาจนได้ ก้มตัวลงใช้มือทั้งสองช้อนน้ำขึ้นมาพิศดู มันช่างใสแจ๋วเสียจนมองเห็นลายมือถนัดชัดเจน เขาว่ามันเค็ม...

มือไวเท่าความคิด ยกขึ้นจดริมฝีปากทันที แลบลิ้นเลียแล้วสลัดทิ้งไปโดยเร็ว

“เค็มปี๋ ทั้งเค็มทั้งเฝื่อนพิก๊ล” บ่นกับตัวเองดัง ๆ ไม่ต้องกลัวลมจะพัดพาไปให้ใครได้ยิน เพราะบริเวณนั้นไม่มีใครอุตริลงเล่นน้ำทะเลเวลาบ่ายจัดอย่างนี้เลย มีแต่ฝรั่งกับแหม่มสองคนลอยเรือยางโต้คลื่นลึกออกไปในทะเลโน่น

เวลาลงไปรวมกันอยู่กับเพื่อนพ้องของมันแล้ว เห็นใสสะอาดอย่างนี้เถอะ กลายเป็นสีเขียวจัดขึ้นมาทันใด ดู ๆ ก็น่าแปลก อุ๊ย! นั่นอะไร ตัวใส ๆ ขาว ๆ ยังกะวุ้นบังเอิญไม้ท่อนหนึ่งถูกคลื่นซัดเข้ามาพอดีคว้าไว้ได้ แล้วเขี่ยมันช้อนขึ้น ดูจนพ้นพื้นน้ำ ตัวใหญ่ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน นึกสนุกขึ้นมาเลยหิ้วมันเดินย้อนกลับขึ้นมาบนหาดทิ้งลงไว้กับพื้นทราย พ้นจากน้ำทะเลซัดถึง อยากดูซิว่า ถูกทิ้งตากแดดอยู่นาน ๆ แล้วจะเป็นยังไงหลังจากที่อยู่ในน้ำทะเลมานานครัน

ยืนดูอยู่สักพักใหญ่ไม่รู้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้าง นึกเบื่อขึ้นมาเลยออกเดินเลียบชายหาดเลือกเก็บเปลือกหอยสวย ๆ ไว้ไปดูเล่น บางทีมันอาจจะมีประโยชน์อย่างอื่นอีกบ้าง ที่นอกเหนือไปจากวางไว้ดูเล่นเฉย ๆ สนุก

 

 

 

และเพลินกับสิ่งที่ตั้งใจกระทำจนเดินไกลออกไปจากที่ตั้งต้นโดยไม่รู้สึกตัว และไม่รู้ว่าอิริยาบถทั้งสิ้นของตนเองปรากฏอยู่ในเลนซ์กล้องทางไกลคู่หนึ่ง เลนซ์นั้นขยับให้ผู้ถูกมองและผู้มองเลื่อนใกล้กันเข้ามาไม่เกินสองวา ครั้นเห็นภาพหมวกปีกกว้างเดินหันหลังให้ไกลออกไปทุกที ไกลจนมองด้วยตาเปล่าเห็นลิบ ๆ คิ้วอันดกใหญ่ปื้นก็ขมวดชิดด้วยความรำคาญใจ เหลียวดูบิดาของไอ้หนูซึ่งกำลังกะแผนงานอยู่บนฝั่งสูงขึ้นไปแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด ช่างพอดีกันทั้งพ่อลูก พ่อก็เอาแต่งานลูกก็เอาแต่เล่นสุนก ถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับไอ้หนูจอมกวนนั่น ความรับผิดชอบร่วมกันก็เห็นจะทำให้เขาเดือดร้อนอยู่ดี

จะเดินตามมาให้ทันก็คงจะถึงเมื่อยนั่นแหละ แล้วก็ออกจะเป็นการแสดง ความกรุณาแก่มันมากเกินไป วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ตรงไปที่รถสตาร์ตนำแล่นกลับไปตามถนนเลียบชายฝั่ง นำไปจอดตรงกับที่ไอ้หนูนั่งก้ม ๆ เงย ๆ เก็บหอยแล้ว ออกเดินตรงไปหามันที่ชายหาด ดูเถอะ! จนอย่างนี้มันก็ไม่สนใจกับเสียงรถ หรือจะมีใครเดินมาบ้าง ถ้าเป็นคนร้ายก็คงเสร็จง่าย ๆ หมั่นไส้ ดูทีหรือ ทำราวกับว่าเปลือกหอยพวกนั้นมีราคาเป็นทองคำกระนั้น

“จะเก็บไปไหนกันมากมาย?” ถามเสียงห้วนไร้ไมตรีจิตจนเห็นชัด

ไอ้หนูกลับเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ ฟันขาวกับแววตาชื่อ ๆ สำแดงความสนุกรื่นเริงอย่างไร้เดียงสาคู่นั้น กลับทำให้อีกฝ่ายหนึ่งสะเทือนด้วยความละอาย

“สวย ๆ ทั้งนั้นเลย คุณจะเก็บไปฝากคุณโสมั่งไหมจะแบ่งให้บ้าง”

“ไม่ต้อง โสเขาไม่สนใจนักหรอก” ธันยกรชายตามองเปลือกหอยต่าง ๆ สีต่าง ๆ ขนาดในห่อผ้าสี่เหลี่ยมอย่างหมิ่น ๆ แม้จะรู้สึกว่าไอ้หนูเลือกคัดมาอย่างประณีตแล้วก็ตาม “ว่าแต่เราเถอะ ออกมาเสียห่างผู้ห่างคนยังงี้ เกิดอันตรายขึ้นจะว่ายังไง จะทำให้ผู้ใหญ่เดือดร้อนรู้ไหม?”

“คนที่เดือดร้อน น่าจะมีคนเดียว คือพ่อ”

 

 

 

 

 

 

ธันยกรรู้สึกเลือดขึ้นหน้าร้อนวูบวาบ นี่แหละ คือรางวัลของคนปรารถนาดีละ มันคงจะให้เขาแปลคำพูดออกมาเป็นว่า “คนอื่นอย่า เสือก!”

“นี่แก พ่อแกกำลังทำงาน เดี๋ยวเขาเงยหน้าขึ้นมาไม่พบแกเสียแล้ว ไม่รู้ว่าใครจับตัวไปจะว่ายังไง ที่จริงฉันก็ไม่อยากยุ่งนักหรอก แต่ขี้เกียจขับรถไปแจ้งความ หรือตระเวนหาเด็กที่เอาแต่รักความสนุกสนาน จนไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของใคร ที่วุ่นวายมาเตือนให้รู้ตอนนี้ เพราะขี้เกียจพาประดาน้ำมางมไอ้เด็กหัวดื้อตอนหลัง แกตายไปแล้วหรือถูกใครมันจับตัวไปแล้ว จะรู้หรือว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยอย่างฉันจะนั่งหัวเราะสำราญอยู่ได้”

คราวนี้ไอ้เด็กหัวดื้อไม่โต้แย้งสักคำเดียว มันเงยหน้าให้เห็นแววตาอันแสดงความเข้าใจและเห็นใจ แล้วก้มลงวางเปลือกหอยในมือลงในกองที่ห่อผ้าไว้ตามเดิม แต่เนื่องจากผ้าผืนเล็กกว่าปริมาณเปลือกหอยมาก ฉะนั้นแม้มือเล็ก ๆ ทั้งคู่จะพยายามผูกเงื่อนที่ชายผ้าสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ ลงท้ายเจ้ามือก็ได้ทำสิ่งที่ธันยกรเองไม่คิดว่าจะทำคือมันเอื้อมปลดหมวกปีกกว้างออกวาง หงายลงกับพื้นทราย พลางเทเปลือกหอยจากห่อผ้าลงไปจนเต็ม

ธันยกรตกตะลึง ไม่ใช่เสียดายหมวกที่ไอ้หนูลงทุนถอดมาใส่ของเล่นของมันแต่ตะลึงเมื่อเห็นเรือนผมของไอ้หนูถนัดต่างหาก ผมดำเป็นมัน แสดงถึงอนามัยอันดีและความทะนุถนอมรักษาของเจ้าของ มิหนำยังยาวจนสามารถถักเป็นเปียสองข้างแล้วพันกลับ กลับขึ้นไว้รอบศีรษะได้อย่างเรียบร้อย รอยแสกกึ่งกลางศีรษะจากหน้าผากถึงท้ายทอยเป็นแนวขาว เห็นผิวหนังสะอาดสะอ้าน ชวนดู

 

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (81 รายการ)

www.batorastore.com © 2024