กิ๊กรัก...กั๊กหัวใจ (Sweet Love in Paris) (พรรณวดี)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9749332598
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 220.00 บาท 55.00 บาท
ประหยัด: 165.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

กิ๊กรัก...กั๊กหัวใจ

Sweet Love in Paris

_________________

 

พรรณวดี

 


กิ๊กรัก...กั๊กหัวใจ (Sweet Love in Paris) 

ผู้เขียน: พรรณวดี

ISBN 974-93325-9-8

ราคา  220.- บาท

ตีพิมพ์ในนิตยสารกุลสตรี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2546–ธันวาคม 2547

 

พิมพ์ครั้งแรก  สิงหาคม  2548

โดยได้รับอนุญาตจัดพิมพ์จากเจ้าของลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

จัดพิมพ์โดย:  บริษัทออปจูน  อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

OPTUNE INTERNATIONAL COMPANY LIMITED

59/265 รามคำแหง 140, แขวงสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

โทรศัพท์ 0-2373-0724  โทรสาร  0-2728-0911

บรรณาธิการ: พงษ์ลดา อิทธิเมฆินทร์


คำนำสำนักพิมพ์

 

                กิ๊กรัก...กั๊กหัวใจ  เป็นนวนิยายโรแมนติกผสมผสานเอ็กซอติกที่ใช้ฉากต่างประเทศอีกเรื่องหนึ่งของพรรณวดี  ที่ได้ตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารกุลสตรี และได้รับความสนใจจากผู้อ่านเป็นอย่างมาก

นวนิยายเรื่อง กิ๊กรัก...กั๊กหัวใจ หรือ Sweet Love in Paris  จำลองภาพบ้านเมือง  บรรยากาศของปารีสและชนบทของฝรั่งเศส มาเป็นฉากของเรื่องรักชวนฝัน  ที่แฝงคติสอนใจให้เห็นว่ารักแท้มีจริง...และเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์รักแท้

                สำนักพิมพ์ออปจูนฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านคงประทับใจไปกับฉากในเรื่องและความโรแมนติกของความรักไร้พรมแดนนี้  และเป็นกำลังใจติดตามผลงานของพรรณวดีต่อไปนานๆ

 

                                                                สำนักพิมพ์ออปจูนฯ

                                                               

                                      


คำนำผู้เขียน

 

หลายครั้งที่ผู้เขียนมีโอกาสไปเที่ยวยุโรปมักจะต้องไปเยือนประเทศฝรั่งเศสให้ได้ทุกทริปไป  ด้วยความชื่นชอบและความประทับใจมากเป็นพิเศษ ปารีสเมื่อสิบปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ยังคงมีเสน่ห์และมนต์ขลังชวนให้หลงใหลและอยากกลับไปเยือนอยู่เสมอ  ผู้เขียนประทับใจกับเอกลักษณ์คู่เมืองอย่างโบสถ์นอทเทรอะดาม  พิพิธภัณฑ์ลูฟว์  พระราชวังแวร์ซายส์ที่สวยงามอลังการ และโรแมนติกประทับใจเมื่อได้ล่องเรือไปตามลำน้ำแซงต์  ผู้เขียนชอบการขับรถเที่ยวในปารีสและตามชนบทของฝรั่งเศส  เที่ยวชมโบสถ์ชอมบอร์ด  แวะชิมไวน์ที่เมืองบอร์โดซ์  จนเกิดแรงบันดาลใจให้เขียนนิยายรักโรแมนติกเรื่องกิ๊กรัก...กั๊กหัวใจหรือ Sweet Love in Paris ขึ้นมา  โดยจำลองภาพบ้านเมืองบรรยากาศของปารีสและชนบทของฝรั่งเศสมาเป็นฉากของเรื่องรักชวนฝันที่แฝงคติสอนใจให้เห็นว่ารักแท้มีจริง...และเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์รักแท้ ดั่งคำสัญญาที่ ภูริภัทร ให้ไว้กับ ณชา

 

 

                                                                ด้วยรักจากใจ

                                                                  พรรณวดี

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

กิ๊กรัก...กั๊กหัวใจ

Sweet Love in Paris

_________________

 

พรรณวดี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



1

 

แสงแรกของดวงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ในปารีสสาดส่องสีทองต้องตัวโบสถ์นอทเทรอะดามอันสูงตระหง่านเหนือแม่น้ำแซงต์ แม่น้ำสายใหญ่ดุจเส้นเลือดสำคัญของกรุงปารีส ลมเอื่อยอ่อนพัดโชยมาแผ่วๆจนใบไม้ยืนต้นบริเวณด้านหน้าโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์สั่นไหวระริกพลิ้วใบ เยื้องไปบนสะพานใหญ่ข้างโบสถ์ที่เชื่อมสองฝั่งน้ำเข้าด้วยกัน สาวไทยวัยกลางคนรูปร่างสูงเพรียวบางสวมเสื้อสูทกางเกงขายาวทันสมัยสีดำยืนนิ่งอยู่บนสะพานทอดสายตาไปไกลเหม่อมองสายน้ำไหลเอื่อยของแม่น้ำแซงต์ บางครั้งที่คลื่นกระทบฝั่งเป็นฝองขาวกระเซ็นซ่านเมื่อยามที่เรือโดยสารพานักท่องเที่ยวล่องน้ำผ่านไป ลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดมาปะทะหน้าจนผมสีดำที่ยาวสยายประบ่าสวยงามปลิวกระจายตามธรรมชาติ ลำแสงอุ่นอ่อนของอาทิตย์สาดมาต้องร่างที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อสูทค่อนข้างหนาซึ่งคงกันหนาวได้อย่างดีแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวยังหารู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้าถึงร่างกายทีละน้อยไม่ วงหน้ารูปไข่ขาวเนียนกอรปด้วยเครื่องหน้าสวยจัด นัยน์ตาดำโตแฝงแววครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาสมองใคร่ครวญหวนคิดถึงความหลังครั้งเมื่อสิบปีที่ผ่านมาราวกับว่าเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเลยทีเดียว

“อุ๊บส์! pardon Monsier !”

หญิงสาวคนเดียวกันหากแต่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ของสาววัยรุ่น ร้องขอโทษออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษพร้อมๆ กัน เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงบอบบางวัยประมาณยี่สิบปีต้นๆ ผมดำยาวรุ่ยร่ายลอดออกมาจากหมวกแก๊ปสีดำที่สวมใส่อยู่ วันนั้นเธอสวมกางเกงยีนขายาวปลายขาบานใส่เสื้อยืดคอปิดสีขาวทับด้วยแจ๊กเก๊ตยีนสะกัดสีอ่อนตามสมัยนิยมในเวลานั้น และเดินอย่างเร่งรีบอยู่บนสะพานใหญ่ข้ามแม่น้ำแซงต์ หญิงสาวไม่ทันได้มองว่ามีใครเดินเลี้ยวขึ้นสะพานตรงไปทางเดียวกับเธอบ้าง ร่างสูงแบบบางจึงชนชายหนุ่มร่างสูงเพรียวที่เดินสวนมาเข้าอย่างจัง และตัวเองนั่นแหละที่ล้มกระเด็นลงไปก้นกระแทกพื้นซีเมนต์ทางเดินบนสะพาน ชายหนุ่มเข้ามาประคองและถามเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันแปร่งๆ

“Are you OK?”

“เอ่อ... ฉันไม่เป็นอะไร”

พอเห็นหน้าชัดว่าเขาเป็นคนไทย หญิงสาวจึงพูดภาษาไทยออกมาชัดเจน  มือเล็กขาวพยุงตัวพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ไม่สำเร็จ 

“ผมช่วยครับ  คุณคงเจ็บซีนะ ล้มกระแทกพื้นแรงขนาดนั้น”

หญิงสาวกัดฟันนิ่ง  รู้สึกโกรธทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิดเดินไปชนเขาเองต่างหาก แต่ไม่วายเสียงแข็งตอบ

“ไม่ต้อง  ฉันช่วยตัวเองได้”

“ครับ  ครับ”  ชายร่างสูงหน้าคมเข้มนุ่งกางเกงยีน สวมเสื้อแจ็กเก็ตยีนตัวโคร่งทับเสื้อยืดขาวสะพายเป้หลังสไตล์หนุ่มนักศึกษาอเมริกัน ยืนรีรออยู่ใกล้ๆ รอจนหญิงสาวพยุงร่างขึ้นยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว

“แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไร  ที่จริงเป็นความผิดของผมเองที่เดินไม่ระวัง  ทำให้คุณต้องเจ็บตัว”

ความเป็นสุภาพบุรุษทำให้ชายหนุ่มออกตัวอย่างนั้นและดูจะทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้

“ฉันเองต่างหากที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”

“เอาเป็นว่าเราสองคนต่างผิดที่ไม่ระวังก็แล้วกันครับ นี่คุณจะเดินไหวไหมครับ แล้ว เอ่อ...จะรีบไปไหนรึเปล่า”

เสียงทุ้มถามด้วยความหวังดี

“ค่ะ  ฉันมีนัดที่โบสถ์นอทเทรอะดาม  ป่านนี้คงรอแย่แล้ว”  สีหน้าของหญิงสาวบอกความกังวลฉายชัด

“ผมก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน  นัดเพื่อนไว้  เอ๊ะ...หรือว่า  ขอโทษคุณนัดใครไว้ครับ  เพื่อนคนไทยรึเปล่า”

คนเพิ่งรู้จักกันเรื่องอะไรจะบอก หญิงสาวจึงเฉไฉเลี่ยงไปเสียว่า

“เอ่อ..เพื่อนนะ ฉันจะรีบไป”

หญิงสาวพยุงตัวเองลุกขึ้นเดินไปจากที่นั่นทันที  ชายหนุ่มได้แต่ยืนส่ายหน้าและนึกขึ้นได้ว่าที่จริงเขาควรจะถามชื่อเอาไว้เพราะเขาเองก็เพิ่งมาเยือนปารีสเป็นครั้งแรกไม่รู้จักใครเลยนอกจากเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมที่กรุงเทพฯ  แต่ก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วได้แต่คุยกันทางโทรศัพท์นัดหมายก่อนมาปารีสเท่านั้นเอง

“บ้าจริงเรา น่าจะถามชื่อ  แล้วนี่จะได้เจอกันอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้  ปารีสออกกว้าง  ทำไมถึงทึ่มจริงนะเรา เอ...แต่อาจจะเจอกันที่โบสถ์ก็ได้”

ชายหนุ่มบ่นพึมพัมเบาๆ และให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับตัวเอง ก่อนเดินไปทางเดียวกับหญิงสาวมุ่งหน้าไปยังโบสถ์นอทเทรอะดามที่อยู่ตรงเชิงสะพานข้างหน้า

เบื้องหน้าคือโบสถ์ใหญ่สไตล์กอธิคของยุโรป  ตั้งอยู่ในย่านที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงปารีส  โบสถ์นอทเทรอะดาม แห่งนี้เองที่นโปเลียน โบนาปาร์ด  สวมมงกุฎสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศฝรั่งเศส  ลานด้านหน้าโบสถ์มีสนามหญ้าเขียวขจีรูปสี่เหลี่ยม นักท่องเที่ยวและชาวปารีเซียงยืนอยู่หนาตา  ชายวัยกลางคนยืนขายเกาลัดคั่วและถั่วหวานกรอบเคลือบน้ำตาล กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ  นักวาดรูปมืออาชีพมานั่งรับจ้างวาดรูปหลายคนวางอุปกรณ์อันกอรปด้วย  กรอบรูปผืนผ้าใบและกระเป๋าสัมภาระไว้ข้างตัว 

ชายหนุ่มรีบเดินผ่านกลุ่มคนเข้าไปหาร่างสันทัดของเพื่อนหนุ่มที่นัดเอาไว้  เขาไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งพบกันที่เมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนเลย  เพียงแต่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นขาวขึ้น  หน้าสี่เหลี่ยม ตาค่อนข้างตี่  จมูกบานและปากค่อนข้างหนา ยังมีแว่นตาหนาอันโตที่ทำให้ดูเหมือนเคร่งขรึมเอาการเอางานและคงแก่เรียนสวมอยู่เหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลง

“รอนานไหมสรัท  นายไม่เปลี่ยนเลยนะ  ยังเหมือนเดิมเพียงแต่สูงขึ้น  อ้อ...นายใส่เสื้อสีฟ้าอย่างที่บอกเราทาง อี-เมล์ด้วย”

ชายหนุ่มร่างสูงทักทายเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานด้วยความดีใจ

“นายก็เหมือนกัน  แต่ก่อนดูเก้งก้าง  เดี๋ยวนี้สูงหล่อแมนมาก  แบบว่าทอล ดาร์คแอนด์แฮนด์ซั่ม  ตามสูตรพระเอกหนังเลยเพื่อน”  สรัทเข้ามาทักทายด้วยการตบไหล่เพื่อนเบาๆ

“นายก็พูดเกินไป  แล้วจะเข้าไปในโบสถ์กันรึยัง”

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ จนเห็นลักยิ้มที่แก้มและคางบุ๋มน้อยๆ  ก่อนเอ่ยปากชวน

“รอเดี๋ยว  นัดญาติไว้อีกคนหนึ่ง  นายเพิ่งมาปารีสครั้งแรก  เราชวนน้องเขามาช่วยเป็นไกด์ให้เพราะเขาเรียนโททางประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยปารีสนี่แหละ  ใกล้จบแล้วหละ  เป็นญาติสนิทกันก็เลยขอแรงเขาหน่อย  ไอ้เรามันเพิ่งมาอยู่ไม่นาน อธิบายอะไรไม่รู้เรื่องหรอก  นั่นไง...มาแล้ว”

ชายหนุ่มร่างสูงเหลือบไปมอง เมื่อเห็นร่างสูงบอบบางของหญิงสาวที่เดินอย่างเร่งรีบเข้ามาหาเพื่อนของเขา แววตาก็เปล่งประกายยินดีที่ได้พบอีกครั้งหนึ่ง  ทั้งที่รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเธอจึงเดินมาถึงที่นี่ช้ากว่าเขาทั้งที่ออกเดินมาก่อน  หรือว่าแกล้งถ่วงเวลาด้วยการเดินลงบันไดสะพานด้านริมแม่น้ำแซงต์ไปก่อนด้วยกลัวว่าจะมาเจอเขาที่นี่  ชายหนุ่มยิ้มขำน้อยๆ อย่างรู้ทันและเมื่อหญิงสาวเหลือบมาเห็นก็ตีหน้าเฉยหยิ่งราวกับคนไม่เคยพบกันมาก่อน

“ณชา  รู้จักเพื่อนพี่  ภูริภัทร สุวงศ์ เขาเรียนอยู่ที่อเมริกา  ปิดเทอมสปริง พี่เลยชวนมาเที่ยวปารีสอาทิตย์หนึ่ง”

“สวัสดีค่ะ”

หญิงสาวยกมือไหว้

“ไม่ต้องไหว้ครับ อายุเราคงห่างกันไม่กี่ปี  เอ่อ...ยินดีที่ได้รู้จักคุณ...”

ภูริภัทร  รู้สึกประหม่าเล็กน้อยต่อหน้าหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า  เขาเห็นหญิงสาวทำท่าเฉยๆ ไม่ได้พูดถึงการพบกันครั้งแรกบนสะพานข้ามแม่น้ำแซงต์ ชายหนุ่มจึงไม่ได้รื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก

“ณชา ธีระวงศ์  เรียกชื่อเล่นก็ได้นะ  น้องเอิง”

สรัท รีบชิงบอกทั้งชื่อจริงชื่อเล่น  ถ้าณชาไม่ตัดบทคงอธิบายยืดยาวไปกว่านี้ตามประสาคนช่างพูด

“ค่ะ  เราจะเข้าไปในโบสถ์เลยไหมคะ  ยิ่งสาย  คนจะยิ่งมาโบสถ์กันเยอะมาก”

“ครับ” 

สองหนุ่มรับคำพร้อมกัน  ทั้งสามจึงเดินเข้าไปในโบสถ์ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง  ภายในโบสถ์ใหญ่ ค่อนข้างมืดสลัวแม้จะมีแสงสว่างจากโคมเทียนที่แขวนเรียงรายเป็นระเบียบระหว่างเสาหินอ่อนกลมขนาดใหญ่ที่ทอดยาวจากด้านหน้าไปถึงด้านในสุดที่เป็นแท่นบูชาขนาดใหญ่  มีเทียนสูงตั้งเรียงรายลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ  เพดานสูงด้านหลังของตัวโบสถ์เป็นกระจกสีที่เรียกว่าโรสวินโดว์  ลวดลายงดงามมาก มีรูปมาดอนนาและพระบุตรอยู่ตรงกลาง ลวดลายกุหลาบงดงามนี้วิจิตรล้ำที่สุดในโลก  เวลานั้นชาวปารีเซียงและนักท่องเที่ยวที่เข้ามาข้างในต่างลงนั่งที่ม้านั่งยาวเงียบเสียงและสงบนิ่งราวกับกำลังตั้งจิตอธิษฐานขอในสิ่งที่ตนอยากเป็นอยากมี 

“นายจะอธิษฐานขออะไรก็ขอซีภู  ไหนๆ มาแล้ว”

สรัทเข้ามากระซิบบอกเพื่อน  ก่อนเดินไปยืนนิ่งหน้าบริเวณแท่นบูชาเบื้องหน้า  ภูริภัทรและณชาจึงเดินตามไปยืนข้างๆ  ภูริภัทรไม่รู้ว่าคนอื่นอธิษฐานอะไรบ้างแต่ชายหนุ่มรู้เพียงว่าตนเองถึงแม้ไม่ใช่ชาวคริสตังหรือแคทอลิก  แต่มีความเชื่อว่าศาสนาทุกศาสนามุ่งเน้นให้ทุกคนเป็นคนดี  ทำความดีเหมือนกัน  ภูริภัทรมิใช่คนเคร่งศาสนานัก  ตั้งแต่มาอยู่เมืองนอกไม่มีโอกาสได้ไปวัดไทยเวลาที่ติดขัดอะไร  เขาเคยไปโบสถ์และอธิษฐานขอในเรื่องบางเรื่องก็ได้สมความปรารถนา  คงเป็นเพราะอานิสงฆ์สูงส่งก็เป็นได้  เพื่อนคนไทยผู้สูงวัยกว่าเคยบอกเขาอย่างนั้น  จึงไม่แปลกที่ภูริภัทรจะยืนนิ่งราวกับทำสมาธิและขอพระเจ้าหรือเบื้องบนอยู่ภายในใจให้ช่วยบันดาลให้สิ่งดีดีเกิดขึ้นในชีวิต  เมื่อเงยหน้าขึ้นมาชายหนุ่มอดชำเลืองมองหญิงสาวร่างเพรียวบางที่ยืนอยู่ข้างสรัทไม่ได้  เธอกำลังยืนนิ่งเพ่งมองตรงไปเบื้องหน้า สักครู่จึงเดินไปทางด้านข้างซึ่งมีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่  ภูริภัทรเห็นณชาเอื้อมมือไปแตะน้ำมนต์และนำมาแตะหน้าผากนูนเนียนขาวเกลี้ยงของเธอ  ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปและทำตามอย่างบ้าง  ณชาหันมามองและไม่พูดอะไร  สรัทเดินมาสมทบและทำตามคนทั้งสอง

“คิดเสียว่าเหมือนน้ำมนต์ไทยก็แล้วกันนะ  เราคิดดีซะอย่างจริงไหมน้องเอิง”  สรัทพูดเสียงเบาพอได้ยินกันสามคน

“ค่ะ”

ณชา เดินนำออกมาจากโบสถ์  ทั้งสามออกมายืนตรงกลางลานกว้างด้านหน้าที่รายล้อมด้วยรั้วโคมไฟสีดำที่เรียงกันเป็นระเบียบล้อมรอบตัวโบสถ์ใหญ่  สรัททำลายความเงียบก่อน

“ซื้อถั่วมากินเล่นดีกว่า  เอาไหมภู”

สรัทไม่รอคำตอบ  เดินจ้ำอ้าวไปที่พ่อค้าขายถั่วเคลือบน้ำตาล  ภูริภัทรและณชาจึงต้องเดินตามไปด้วย

“เอ้านี่  ลองชิมดูแล้วจะติดใจ”  สรัทส่งถุงถั่วเคลือบน้ำตาลที่กำลังอุ่นๆ มาตรงหน้าเพื่อนซึ่งรับไว้อย่างเสียไม่ได้

“น้องเอิงไม่ชอบพี่รู้  เมื่อกี้นายอธิษฐานอะไรเห็นนั่งนิ่งเชียว”

สรัท หันมาถามเพื่อนปากยังเคี้ยวถั่วอย่างเพลิดเพลิน

“ก็ไม่มีอะไร  เราไม่ใช่คนโลภมากอยากได้อะไรที่มันเกินตัว  ก็ขอไปเรื่อยตามแต่พระท่านจะให้ได้”

“สมถะจริง นึกว่าจะขอให้ได้แฟนสวย รวยเก่ง  อะไรทำนองนั้น”

“เฮ้ย! นายก็พูดไปเรื่อยอายคุณเอิงเขา”

ภูริภัทรเหลือบมองณชาสีหน้ากระดากใจ  อีกฝ่ายก็ทำท่ายิ้มเยาะให้

“เจ้านี่มันเอาแต่เรียน  ยังไม่ยอมมีแฟนซะที  ไม่รู้จะหวงตัวไปถึงไหน  หรือรอเนื้อคู่มาเกิดอยู่ก็ไม่รู้”

“อะแฮ้ม!”  ภูริภัทรกระแอมกระไอ

“ไม่ต้องเลย  ถ้ามีแฟนก็ต้องพามาด้วยซี  ใช่ไหมน้องเอิง”

“เอิงไม่เกี่ยวนะคะ”  ณชายิ้มน้อยๆ มองดูญาติผู้พี่ต้อนเพื่อนด้วยความสนิทสนม  ดูท่าอีกฝ่ายก็ไม่ถือโกรธอะไร

“เออๆ  ไม่มีก็ไม่มี  ก็มันยังไม่มีเวลานี่นา”

ภูริภัทรแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ

“ไม่เกี่ยวเลย  มีแฟนนี่ไม่เห็นต้องใช้เวลาเลย  อย่ามาอ้างเลยวะเพื่อน”

“โอเค โอเค  ยอมแพ้”

ภูริภัทรยอมแพ้ง่ายๆ  เพราะเกิดความอายหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าว่าอายุจนป่านนี้ยังไม่มีแฟน  นิสัยคงแย่  ผู้หญิงจึงไม่อยากคบกระมัง  ก็สายตาของเจ้าเธอบอกชัดอย่างนั้นนี่นา

“แกล้งแหย่เล่นนะ  พี่ไม่ได้ถามน้องเอิงเลยว่าอธิษฐานขออะไร”

“เอิงก็ขอให้ไกลจากคนที่เอิงไม่ปรารถนาอยู่ใกล้นะซีคะ”

“หมายความว่ายังไง  น้องเอิงหมายถึงใครกัน”

“พี่สรัทน่าจะรู้”

“เออ...ใช่  แต่ยิ่งเกลียดจะต้องยิ่งใกล้นะน้องเอิง  พี่จะเตือนไว้  และดูว่าน้องเอิงจะหนีไม่พ้นเสียด้วย”

“ค่ะ  เอิงก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี”

สีหน้าของณชาสลดวูบเจื่อนสีไปนิดหนึ่ง  ก่อนที่จะกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิมและพูดอย่างเข้าใจกันสองคนกับสรัทว่า

“ช่างเถอะค่ะ  เอิงไม่อยากคิด  เราไปเที่ยวกันต่อดีกว่านะคะพี่สรัท” 

“เราจะไปไหนกันดีละ” 

สรัทหันมาถามญาติผู้น้องขณะที่ปากเคี้ยวถั่วเคลือบน้ำตาลหวานกรอบไปเรื่อยๆ  ภูริภัทรลองชิมดูอร่อยดีเหมือนกัน  ถั่วอุ่นรสหวานปะแล่มช่วยให้ปากหยุดสั่นหายหนาวได้ดีทีเดียว

“เอิงพาไปเดินแถวถนนมอนติเบลโล ข้างโบสถ์ก่อนนะคะ  เผื่อว่าเพื่อนพี่สรัทอยากซื้อของที่ระลึกพวกภาพเขียนนะคะ  แล้วเราค่อยไปพิพิธภัณฑ์ลูฟว์นะพี่สรัท”

ณชา เหลือบมองมาทางภูริภัทรราวกับดูเชิงว่าเขาจะทำท่าอย่างไร  ถ้าเธอจะพาไปที่นั่น  คนหนุ่มสมัยใหม่ส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจศิลปะเท่าใดนัก  จะได้รู้ว่านายคนนี้จะทำท่าเบื่อได้น่าเกลียดแค่ไหน

“ไปซี  นายภูชอบเป็นที่หนึ่งเลย  ที่จริงเขาบอกพี่ว่าอยากไปลูฟว์ตั้งแต่ก่อนมาถึงปารีสแล้วหละ”

“งั้นไปเลยค่ะ”

ณชา เดินนำออกมาจากลานกว้างหน้าโบสถ์  ทั้งสามเดินไปตามถนนเล็กๆ  ด้านข้างขวาของโบสถ์ผ่านถนนเล็กๆ ริมแม่น้ำแซงต์  ที่เต็มไปด้วยร้านขายภาพเขียนเก่าๆ มากมายเรียงรายอยู่ริมถนน

“พวกบูควินิสต์ จะขายรูปเขียน และหนังสือทั้งเก่าและใหม่ที่หายากค่ะ  ลองดูซีคะ  เผื่อจะเจออะไรดีๆ บ้าง  ถ้ามีเวลาว่างช่วงรอเข้าเรียนฉันชอบมาเดินดูของที่นี่  เขาว่าเป็นเสน่ห์ของปารีสของชาวปารีเซียงนะคะ”  ตอนท้ายราวกับหันไปบอกเล่าให้คนตัวสูงหน้าเข้มที่นิ่งฟังด้วยความสนใจนัก

“น้องเอิงชอบสะสมภาพเขียนนะภู  บางทีก็มีภาพเด็ดๆ มาอวดบ่อยๆ”

“เหรอครับ  ผมก็ชอบแต่ไม่มีโอกาส  อีกอย่างฐานะก็ไม่อำนวยด้วย”

ภูริภัทร พูดออกมาโดยที่ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด  ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับความเป็นตัวตนและสถานภาพทางสังคมของตัวเองอย่างเต็มที่และไม่รู้สึกอายที่จะบอกใครๆ ว่าตัวเองไม่ได้มาจากตระกูลร่ำรวยหรือมีนามสกุลใหญ่โตอะไรเลย  กลับเป็นลูกชาวบ้านชาวสวนธรรมดาเสียด้วยซ้ำไป  โชคดีที่เรียนเก่งกว่าคนอื่นเท่านั้นเขาจึงสามารถสร้างอนาคตที่ค่อนข้างจะมั่นคงให้ตนเองได้ด้วยการศึกษา

“พี่สรัทพูดเกินความจริง  เอิง  เอ่อ...ฉันไม่ได้มีมากจนถึงขนาดสะสมเป็นคอลเลคชั่นหรอกค่ะ  เพียงแต่ถ้าวันไหนมาเจอภาพถูกใจไม่แพงนักก็ซื้อเก็บไว้เท่านั้น  ที่นี่เดินดูได้ค่ะเขาไม่ว่า  ถ้าไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ  ฉันมาบ่อยๆ จนเจ้าของร้านจำหน้าได้”

รอยยิ้มของบูควินิสต์ที่ขายรูปภาพริมถนนส่งลอยมาให้ณชา ยืนยันคำพูดของหญิงสาวได้ดีทีเดียว  ภูริภัทรเดินดูรูปภาพไปเรื่อยๆ  จนไปพบภาพดอกทิวลิปสีน้ำเงินล้วนเข้าภาพหนึ่ง  เขาฉงนในความแปลกของมันยิ่งนัก  ชายหนุ่มถามความเห็นของณชา

“คุณณชาว่าสวยไหมครับ”

“สวยและแปลกดี  เป็นภาพเก่าที่คนวาดไม่มีชื่อแต่วาดได้สวยงามอ่อนช้อยมาก ซ่อนปลายพู่กันได้เรียบเนียนจริง  ถ้าคุณกลัวหลอกตาเรื่องสีของทิวลิป  ฉันขอบอกว่าทิวลิปสีน้ำเงินมีจริงนะคะ  ฉันเคยไปดูที่สวนเคอร์เคนฮอฟ  ฮอลแลนด์มาแล้ว”

“จริงหรือครับ ผมยังไม่เคยไป  คงต้องไปให้ได้สักวันหนึ่งละครับ  ถึงผมจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน  แต่เชื่อตาคุณณชานะครับ”

ภูริภัทรจ่ายเงินซื้อภาพเขียนนั้นในราคาเพียงไม่กี่สิบฟรังซ์เท่านั้น เจ้าของร้านม้วนและห่อกระดาษให้อย่างมิดชิดใส่ไว้ในเป้สะพายหลังได้พอดี

ณชาพาเดินผ่านมหาวิทยาลัยปารีสที่เธอเรียนอยู่  สรัทหันไปบอกเพื่อน

“น้องเอิงเรียนโทอยู่ที่นี่  จะจบแล้วใช่ไหม?”

“ค่ะ”

“แล้วกลับเมืองไทยเลยซิ  วันก่อนพี่แวะไปเยี่ยมคุณอากมุทท่านบอกว่าอย่างนั้น”

“คุณพ่อกำหนดย้ายกลับเมืองไทยพอดี  ท่านจะไปรับตำแหน่งอธิบดีกรมยุโรปค่ะ  คำสั่งกระทรวงเพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่วันนี่เอง”

“พี่ดีใจด้วยนะที่น้องเอิงจะได้กลับไปอยู่กรุงเทพฯ  เร่ร่อนมานานแล้ว”

“ค่ะ  เหมือนยิปซีเลย  อยู่ประเทศโน้นประเทศนี้  พอครบเทอมสี่ปีก็ต้องตามคุณพ่อย้ายไปเรื่อยๆ”

“ประสบการณ์ต่างแดนเพียบนะซีไม่ว่า จริงไหมภู ไม่เห็นพูดอะไรเลย”

“เราชอบฟัง”

“เนี่ยะ  นายภูมันเป็นคนนิ่งๆ  พูดน้อยอย่างนี้แหละเลยจีบสาวไม่ติดซักทีทั้งที่ออกหล่อเป็นแมนทั้งเนื้อทั้งตัว  ทั้งกระเทยทั้งเกย์ไม่เคยได้แอ้มนาย”

ณชาเหลือบมองมายิ้มๆ  ทำให้ภูริภัทรรู้สึกเขินจนหน้าแดง

“เฮ้ย!  แล้วทำไมต้องมาลงที่เราด้วย”

“ล้อเล่นนะเพื่อน ทำไมต้องหน้าแดงด้วยละ  ทำเป็นอายไปได้”

“ก็นายพูดต่อหน้าคุณเอิงอย่างนี้  เราเสียฟอร์มหมด”  ภูริภัทรไม่ได้พูดออกไปอย่างใจคิด  กลับหันไปถามณชา

“คุณเอิงไม่อยู่เรียนต่อหรือครับ  ท่าทางอายุยังน้อยอยู่เลย”

“เห็นหน้าเด็กอย่างนี้  ยี่สิบสามแล้วนายภู  ถ้าไม่ได้เรียนหนังสืออยู่เมืองไทยคงแต่งงานไปแล้ว  แต่นี่ก็ใกล้แล้วละซี  ใช่ไหม”  สรัทพูดอย่างคนคุ้นเคยกับทั้งสองคน

“เอิงยังไม่ทราบ ต้องแล้วแต่ผู้ใหญ่ค่ะ  แต่เอิงอยากลองทำงานก่อนสักพักค่ะ”

ภูริภัทรรู้สึกใจหายเมื่อได้ยินอย่างนั้น  เธอพูดเหมือนกับว่ามีคู่หมายแล้ว  ชายหนุ่มพยายามระงับความรู้สึกเดินตามไปเงียบๆ

“ก็ดี  อ้าวถึง พาแลส์ ดู จัสตีส ( Palais de Justice)  เขาว่ามีโบสถ์เล็กๆ เราเข้าไปดูกระจกสีกันไหม  เห็นเขาว่าสวยมาก  พี่ยังไม่เคยเข้าไปเลย”

“โบสถ์ แซงต์ ชาแปล ค่ะ  เข้าไปดูก็ได้  เอิงเคยดูแล้วสวยดี  ไปค่ะ”

ทั้งสามเดินเข้าไปในโบสถ์เล็กสไตล์กอธิคแห่งนั้น  เสียงกังวานใสของณชาดังพอได้ยินสามคนและไม่รบกวนชาวปารีเซียงและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในโบสถ์ 

“กระจกสีลายสวยๆ ที่อยู่เหนือพื้นโบสถ์ยาวสองเมตรสูงขึ้นไปเกือบ 246 ฟุต  กระจกสะเตนกล๊าสสวยๆ  เหมือนกับผนังล้อมรอบโบสถ์เลยค่ะ  ส่วนแสงสว่างภายในโบสถ์มาจากเชิงเทียนที่แขวนอยู่ในระดับขอบล่างของกระจกสี  นอกจากนั้นเป็นแสงอาทิยต์ที่ลอดผ่านกระจกสีเข้ามาทั้งหมดสวยจริงๆ นะคะ คุณภูจะนั่งดูสักพักก็ได้นะคะ ไม่ต้องรีบ”

“ครับ”

ทั้งสามดื่มด่ำความงามของกระจกสีแล้วจึงเดินต่อไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ซึ่งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำแซงต์ตรงถนนริโวลี

“...ถึงลูฟว์แล้ว  เข้าไปดูก่อนแล้วบ่ายๆ  ค่อยออกมาหาอะไรกินกลางวันดีไหม”  สรัทออกความคิดเห็น

“ค่ะ”

หญิงสาวบอกเล่าที่มาของพระราชวังลูฟว์และพิพิธภัณฑ์อย่างคล่องแคล่ว

“พระราชวังลูฟว์ หรือ  พาแลส์ ดู ลูฟว์  เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป  สร้างเมื่อปี พ.ศ. 1757  ตอนนั้นใช้เป็นป้อมปราการเมืองทางชายแดนด้านตะวันตก  แต่ก่อนยังไม่มีรูปร่างอย่างนี้หรอกค่ะ  ตอนหลังเขาถึงได้สร้างปิรามิดแก้วหนัก 95 ตัน ที่เรียกว่า ไอเอ็ม  ไพ (I.M. Pei)  ตามชื่อคนออกแบบพิพิธภัณ์ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี  ขึ้นมาอย่างที่เห็นไง”

“เห็นประโยชน์ของการเรียนประวัติศาสตร์ไหมนายภู  นายโชคดีนะที่ได้ไกด์กิตติมศักดิ์ที่เป็นถึงลูกสาวของทูตไทยประจำกรุงปารีสอย่างน้องเอิง”

“ขอบคุณครับ”

ภูริภัทรหันไปมองทางหญิงสาวซึ่งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ด้วยความทึ่ง  ณชาเดินเล่าไปเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงใสเป็นกังวานทีเดียว

“พระเจ้าฟรังซัวร์ที่หนึ่งทรงเปลี่ยนกรมทหารมาเป็นพระราชวังสวยงาม  แคทลีน เดอ เมดิซี  พระเจ้าเฮนรี่ที่ห้า  พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสาม,สิบสี่  พระเจ้านโปเลียนที่สามและมิตเตอร์รองด์ที่หนึ่ง เพิ่มเติมและขยายพระราชฐานมาตลอด  จนกระทั่งพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ทิ้งพระราชวังไปอยู่ที่พระราชวังแวร์ซายส์ เมื่อปี พ.ศ. 2221 ทำให้วังร้างมีขอทานและโสเภณีมาอาศัยหากินเต็มไปหมด”

“คงเสื่อมโทรมมากนะครับ”

ภูริภัทรถามสีหน้าเต็มไปด้วยความสลดใจไปด้วย

“ค่ะ  พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่เกือบให้ทำลายพระราชวังทิ้ง  แต่ทรงเปลี่ยนพระทัยให้นำศิลปะส่วนพระองค์ออกมาตั้งโชว์ในห้องว่าง  เมื่อปี พ.ศ. 2336  หลังปฏิวัติฝรั่งเศสก็เริ่มเปิดให้คนเข้าชม ตั้งแต่นั้นมาพิพิธภัณฑ์ลูฟว์กลายเป็นสัญลักษณ์ของศิลปะวัฒนธรรมต่างๆ ของทุกประวัติศาสตร์ที่คนยุโรปต้องมาดู”

“ใช่  เวลามีคนไทยมาเยี่ยมคุณอากมุท  น้องเอิงก็ต้องเป็นไกด์พามาทุกครั้ง  จนหลับตาเดินได้แล้ว”

“เอิงไม่ชำนาญอย่างนั้นหรอกค่ะพี่สรัท  อย่าไปเชื่อนะคะ”

ภูริภัทรไม่ตอบว่ากระไรได้แต่ยิ้มน้อยๆ

“เราจะไปกับทัวร์ไหมคะพี่สรัท  เขามีทุกๆ ยี่สิบนาที”

“ไปกันเองดีกว่า  ชอบตรงไหนเป็นพิเศษก็หยุดดูนานๆ ได้  ตกลงไหมภู”

ภูริภัทรพยักหน้ารับและเดินตามทั้งสองเข้าไปซื้อตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์  ชายหนุ่มชิงออกค่าตั๋วให้

“งานนี้อเมริกันแชร์นะภู  นายก็ไม่ค่อยมี”

“ไม่เป็นไร  เราเก็บเงินเดือนผู้ช่วยสอนที่มหาวิทยาลัยเตรียมมาเที่ยวโดยเฉพาะ ไม่ต้องห่วง  คุณเอิงอุตส่าห์มาพาเที่ยว”

ภูริภัทรเหลือบไปมองณชาอย่างรู้สึกขอบคุณ

“พี่สรัทชวนก็ต้องมาอยู่แล้วละ”

ณชา เดินนำเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์  หญิงสาวเล่าไปเรื่อยๆ  อย่างที่เคยปฏิบัติเวลาที่มีเพื่อนของบิดาหรือคนไทยมาปารีสและต้องมาที่นี่  ภูริภัทรตั้งใจฟังเต็มที่ด้วยความสนใจยิ่งขณะที่พอเดินดูได้ไม่กี่ห้อง  สรัทก็ขอตัวไปนั่งดื่มกาแฟรอข้างนอกเพราะไม่มีความสนใจจริงจัง

“ศิลปะกับพี่เหมือนคนละโลกกัน  น้องเอิงพาเพื่อนพี่ไปดูนะ  เสร็จแล้วไปเจอกันตรงปิรามิดกระจกทางเข้านะ  สักบ่ายสองเป็นไง  พี่ฝากเพื่อนด้วยนะน้องเอิง  มันไว้ใจได้”

“ค่า... ไม่เหมือนพี่สรัทหรอก”

“เอ๊ะ...พี่กะล่อนมากงั้นหรือ  พี่ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย”

“อย่ามาทำไก๋เลย  เอิงรู้นะ”  หญิงสาวยิ้มๆ อย่างรู้เท่าทัน

“พี่ไปละ  แล้วเจอกันนะ”

“ค่ะ”

เมื่อนัดหมายกันแล้ว  ภูริภัทรเดินตามณชา ไปตามห้องต่างๆ  ตั้งแต่ห้องแรก  ชายหนุ่มฟังเธอเล่าและอธิบายด้วยความเพลิดเพลิน

“งานศิลปะในนี้มีถึง 4 แสนชิ้น  มี 7 ประเภท  ภาพเขียน  ภาพวาด  งานปั้น  ศิลปะตะวันออก  กรีก  โรมัน อียิปต์ และวัตถุโบราณ...”

เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงต่างคนต่างดื่มด่ำกับศิลปะต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์  พูดคุยซักถามกันอย่างไม่รู้เบื่อ  จนกระทั่งไปถึงห้องที่เก็บภาพ “โมนาลิซ่า”  ที่ล้อมคอกสี่เหลี่ยมเอาไว้ขณะนั้นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นกำลังยืนเข้าแถวรอเข้าไปดูใกล้ๆ

“ทำไมเขาต้องใส่กรอบพลาสติกด้วย”  ภูริภัทรถามอย่างแปลกใจ

“ทุกคนที่มาที่นี่ต้องมาดูภาพนี้  ทางการเขากลัวคนเอามือไปแตะต้องเข้า  ก็เลยใส่กรอบและห้ามถ่ายรูปเพราะจะทำให้ภาพเสีย  ภาพโมนาลิซ่า หรือ เดอะ จีโอคอนดา  นางแบบคือมอนนา หรือโมนาลิซ่า  ภายหลังแต่งงานกับฟรานเชสโก เดล จีโอคอนดา  ลีโอนาโด ดาวินซี วาดไว้เมื่อประมาณห้าร้อยกว่าปีก่อน  นักวิจารณ์ศิลปะของศตวรรษที่สิบหกบอกว่ารอยยิ้มมุมปากของโมนาลิซาบอกถึงความสง่างาม  ดาวินซีใช้เทคนิคสฟูมาโต (sfumato) แสงและเงาที่ค่อยจางไปทำให้ไม่รู้ว่าเป็นช่วงเวลาใดของวัน”

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณจะรู้ละเอียดลึกซึ้งขนาดนี้”

ภูริภัทรบอกอย่างทึ่งจัด

“เป็นความชอบส่วนตัวนะคะ  ถ้าคุณชอบอะไรก็คงต้องพยายามศึกษาหาความรู้ในสิ่งนั้นให้มากที่สุดเหมือนกัน” ณชา ตอบอย่างถ่อมตัว

“จริงครับ  ผมเห็นด้วย  ไม่ใช่เฉพาะศิลปะเท่านั้น  แต่มีสิ่งที่ผมยังต้องศึกษาอีกมากทีเดียว”

“มั้ง...  ฉันไม่นึกว่าคุณจะชอบศิลปะเหมือนกัน  ท่าทางรู้เรื่องเยอะเสียด้วย”

“แต่คงไม่ลึกซึ้งเท่าคุณณชา  ผมเพียงแต่ชอบอ่าน  ชอบศึกษา  และอยากมาที่นี่นานแล้วแต่เพิ่งเก็บเงินได้  ก็เลยนัดกับสรัท  ....น่าเสียดายที่รายนั้นไม่ชอบเอาเลย  ดูแป๊บเดียวก็บ่นเบื่อแล้ว”

“พี่สรัทน่ะเหรอ ถ้าชวนไปคุยกับผู้ใหญ่จะชอบมาก  คุยกับคุณพ่อคุณแม่ฉันได้เป็นชั่วโมง เป็นหลานคนโปรดน่ะ  ที่ฉันมาได้วันนี้เพราะพี่สรัทไปขอกับคุณพ่อเอง  ฉันเคยพาเพื่อนคุณพ่อหรือเพื่อนบางคนมาที่นี่  บางคนไม่สนใจเอาเสียเลย  ดูไม่กี่ห้องก็ขอให้พาออกไปเดินเล่นช็อปปิ้งดีกว่า  ว่าแต่อยากดูใกล้ๆ  ไหมล่ะ  ถ้าจะดูก็ยืนรอตรงนี้แหละ”

“ผมว่าไปดูรูปปั้นวีนัสดีกว่า  เราคงดูโมนาลิซ่าได้แค่นี้เท่านั้น  คนคงแน่นตลอดวัน”

“ได้  ตามมาซี”

ภูริภัทรเดินตามณชาไปยังห้องที่เก็บรูปปั้นวีนัส  ที่นี่คนยังไม่แน่นมากนัก  เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ได้ชัดเจน

“เขาปั้นได้สวยมากนะคุณ”

ชายหนุ่มเข้าไปยืนมองความสลักเสลาวิจิตรของรูปปั้นตรงหน้าอย่างสนใจ

“ค่ะ  ฉันไม่เล่าประวัติแล้วนะ  คุณคงรู้หมดแล้วละซี  อ่านมาเยอะนี่”

น้ำเสียงใสบอกชัดว่าต้องการประชด

“แต่ผมอยากฟังจากคนที่ศึกษามาโดยตรงนี่ครับ  นะครับผมอยากรู้”

ภูริภัทรตอบอมยิ้มน้อยๆ  กับคำประชดของเธอ  ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เติบโตในต่างประเทศจะรู้จักใช้วาจาและภาษาไทยได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้

“อยากรู้อะไรล่ะ”

“ก็ทุกอย่าง”

“ถ้าอยากรู้ทุกอย่าง  ฉันเห็นจะไม่มีความรู้พอ  เอาแค่งูๆ ปลาๆ ก็พอ”

“ก็ได้ครับ  อย่างวีนัสนี่ละครับ”

“รูปปั้นวีนัส หรือ วีนัส เดอ ไมโล  ตัวจริง  ของจริง  พ่อค้าไปพบเข้าที่เกาะไมโลเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน เขาเรียกว่าเป็นศิลปะของยุคเฮลเลนนิสติก  คือประมาณปลายศตวรรษที่สอง  รูปปั้นหินอ่อนนี้ถือเป็นคลาสสิคและเป็นต้นแบบของความงามของผู้หญิงกรีกเลยนะ”

“ตอนพบแขนหักอย่างนี้หรือเปล่าครับ”

“ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ  เคยไปอิตาลีหรือยังล่ะ”

“ยังเลยครับ  ปารีสเป็นยุโรปทริปแรกของผม”

“ดี  ถ้ามีโอกาสไปก็อ่านไปก่อนด้วยจะยิ่งดีมาก  แล้วคุณจะเห็นความแตกต่างของงานปั้นอย่างรูปปั้นเดวิด ของไมเคิล แองเจโลที่เมืองฟลอเรนซ์  อิตาลี  คุณจะต้องทึ่งกว่านี้  แต่ต้องไปดูตัวจริงในพิพิธภัณฑ์นะ  ตัวที่ยืนข้างนอกตรงจตุรัสซินยอเรียนะ  เขาปั้นเอาไว้ให้คนดู  แต่ก็เป็นคลาสสิคแล้วละเพราะอายุกว่าร้อยปีแล้ว”

“ผมจะต้องไปให้ได้สักวันหนึ่ง”

ภูริภัทรให้สัญญากับตัวเองและหวังเล็กๆ ในใจว่าเขาจะมีคนรู้ใจและคุยกันรู้เรื่องอย่างผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้ร่วมเดินทางไปด้วย  น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้มีคนจองเสียแล้ว  นายภูริภัทรคนนี้รู้จักเธอเอาเมื่อสายเกินไปแล้วหรือไร


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (89 รายการ)

www.batorastore.com © 2024